- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 September 2017 16:45
- Hits: 3712
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นน่าจะมาจาก ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศที่คืบหน้า โดยเฉพาะผลการประมูลรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 2 เสร็จสิ้น ขณะที่การประมูลที่เหลือน่าจะทยอยในช่วงที่เหลือของปีนี้ หนุนการลงทุนเอกชน และ GDP ไทยเติบโต 3.5% ปีนี้ และ 4% ปีหน้า บวก Fund Flow ขยับซื้อมากกว่าขาย ช่วยหนุน SET ทดสอบ 1620-1625 จุด อีกครั้ง กลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ ยังชอบ WHA([email protected]), SCC(FV@B620) และเพิ่ม UNIQ(FV@B25) เป็น Top picks
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย : SET Index บวกสวนภูมิภาค โดยมีต่างชาติหนุน
วานนี้แม้ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี แต่ SET Index ก็สามารถประคองตัวได้ในแดนบวก ปิดที่ 1619.11 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.23 จุด คิดเป็น 0.04% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.49 หมื่นล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่ม ICT โดยเฉพาะผู้ให้บริการมือถือยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ค่าย นำโดย TRUE เพิ่มขึ้น 2.70% ตามด้วย DTAC เพิ่มขึ้น 3.65% และ ADVANC 0.79% ตามมาด้วยกลุ่มอาหารฯ นำโดย CPF เพิ่มขึ้น 2.78% ซึ่งนักวิเคราะห์ ASPS เชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวที่ชัดเจนใน 2H60 จากราคาสุกรในเวียดนามที่ปรับตัวขึ้นมาแล้ว รวมทั้งธุรกิจไก่และกุ้งที่เริ่มที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออกสู่ต่างประเทศ หุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มที่ปรับตัว คือ ICHI และ BR เพิ่มขึ้น 5.81% และ 2.16% ตามลำดับ
ส่วนหุ้น น้องใหม่ อย่าง หุ้นทริพเพิล ไอ (III) ราคาปิดชน Ceiling ที่ 9.80 บาท และมีความเสี่ยงที่จะเข้าเกณฑ์ติด Cash Balance จึงต้องระวังจะมีการปรับฐานระยะสั้น รวมถึง WORK ที่ราคายังบวกต่อเนื่องปิดที่ 86.25 บาท เพิ่มขึ้นอีก 5.57% แต่หากนับตั้งแต่วั 31 ส.ค. จนถึงวานนี้ราคาหุ้นปรับขึ้นไปแล้วถึง 23.55% ขณะที่ upside เหลือเพียง 4.4% จึงมีโอกาสถูกขายทำกำไรระยะสั้นสูง
ตรงกันข้ามกลุ่มที่กดดันตลาดมากสุดคือ กลุ่มพลังงาน นำโดยหุ้นโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงนำโดย EA ลดลง 2.65%, EGCO ลดลง 0.87% และ GLOW ลดลง 0.87% ตามด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ นำโดย SCB ลดลง 0.99%, BAY ลดลง 2.55% ส่วน KTB, KBANK, TMB, BBL ยังทรงตัว
ทิศทางตลาดฯ วันนี้ โดยรวมยังน่าจะแกว่งตัว 1620-1625 จุด แม้ เริ่มมีแรงซื้อต่างชาติ แต่โดยรวม มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง เทียบกับจากสัปดาห์ก่อน ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1612 จุด
ต่างประเทศมุ่งไปที่ประชุม ECB น่าจะลด QE แต่สะท้อนค่าเงินยูโรที่แข็งแล้ว
ตลาดให้น้ำหนักวันที่ 7 ก.ย. การประชุมของธนาคารกลางยุโรป(ECB) ครั้งที่ 6 จากทั้งหมด 8 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังจากเศรษฐกิจของยุโรปยังส่งสัญญาณขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราการว่าง ล่าสุด 9.1% (ต่ำสุดในรอบ 9 ปี) และ ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อยุโรปยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย (เงินเฟ้อ ส.ค 1.5% yoy และดอกเบี้ย 0%) โดยให้น้ำหนักที่ ECB จะส่งสัญญาณกลับมาใช้นโยบายการเงินตึงตัวผ่านการลดหรือยุติ QE ปัจจุบันเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโร (ระยะเวลา เม.ย.2560 – สิ้นปีนี้) แต่ยังคงดอกเบี้ยนโยบาย ที่ 0%(ตั้งแต่ มี.ค.2559)
ทั้งนี้เชื่อว่า ECB มีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยปีหน้าตามหลังสหรัฐในปีหน้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอยู่ในทิศทางแข็งค่าตลอดช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา โดย ค่าเงิน หลังจากที่แข็งค่า 13.11%นับตั้งแต่ต้นปี (ytd) สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า 9.37%ytd ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะมีโอกาสกลับข้างคือเงินยูโรน่าจะลดการแข็งค่า หากมีการเดินหน้าลด Q.E. หรือขึ้นดอกเบี้ยจริงหลังจากนี้
สหรัฐกำลังเผชิญปัญหาเพดานหนี้ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น
ขณะที่สหรัฐเชื่อว่าปัจจัยกดดันระยะสั้น น่าจะให้น้ำหนักกับ การก่อหนี้สาธารณะ มากกว่าการขึ้นดอกเบี้ย ดังที่ได้นำเสนอในช่วงก่อนหน้า ว่า Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ออกไปและไปขึ้นในปีหน้าแทน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน(เงินเฟ้อ 1.7%yoy และดอกเบี้ย 1.25%) และเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอการร้อนแรง สะท้อนจากอัตราการว่างงานของสหรัฐ แกว่งตัวอยู่ในช่วง 4.3-4.4%(ต่ำสุดในรอบ 10 ปี) มาตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย.-ปัจจุบัน บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐที่เริ่มทรงตัวและเข้าสู่การจ้างงานเต็มที่ (Full employment)
โดยปัจจัยระยะสั้น น่าจะเกิดจากความเสียหาย จากพายุฤดูร้อน Harvey ที่พัดเข้าถล่มรัฐเท็กซัส ล่าสุด ราว 1.8 แสนล้านเหรียญฯ (จากสัปดาห์ที่แล้วกระทรวงการคลังสหรัฐเผย 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งน่าจะผลักดันให้ประธานาธิบดีทรัมป์ เร่งขออนุมัติ ขยายเพดานหนี้ ซึ่งปัจจุบันการก่อหนี้ ใกล้เคียงกับเพดานหนี้(Debt Ceiling) ที่กำหนด 19.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ยอดหนี้สาธารณะล่าสุด ราว 19.97 ล้านล้านเหรียญฯ ให้เกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดการเดิม 29 ก.ย.2560
ทั้งนี้เพราะต้องนำเงินไปช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายผู้ประสบภัยน้ำท่วม และเพื่อให้สามารถชำระหนี้ตามกำหนด (เงินประกันสังคม, ประกันสุขภาพ และเงินสมทบเกษียณอายุทหาร เป็นต้น) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา Government Shutdown ดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 1-16 ต.ค. 2556 ราว 16 วัน
รัฐ Texas (เกิดภัยธรรมชาติล่าสุด) เป็นฐานเสียงใหญ่ที่สุดในรัฐบาลของทรัมป์ คือ มีจำนวน ส.ส. 38 คนจาก 306 เสียงของ ส.ส.ทั้งหมดของพรรค Replubican รองลงมาคือ รัฐ Florida 29 คน และ รัฐPennsylvania 20 คน เป็นต้น
เศรษฐกิจเดินหน้า ผลประมูลรถไฟทางคู่ช่วง ลพบุรี-ปากน้ำโพ UNIQ ชนะ
วานนี้ราคาหุ้น UNIQ ปรับขึ้นไป 1.1% ตอบรับข่าวที่ รฟท. ประกาศผลการประมูลงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญาที่ 2 ซึ่ง UNIQ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ราคา 8,649 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดไว้ที่ 8,813 ล้านบาท ราว 1.86% ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าว เป็นช่วงที่ UNIQ มีความคาดหวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนที่มีโรงหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตที่ จ.สระบุรี จึงสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้ ส่งผลให้ปัจจุบัน UNIQ มี Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท เพียงพอรองรับการสร้างรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า ช่วง 2H60 คาดว่าจะมีงานประมูลงานราว 2.27 แสนล้านบาท โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เฟสแรก 10 สัญญา มูลค่ารวม 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีหลายเส้นทางที่ รฟท. ได้ทยอยเปิดประมูลไปแล้ว คือ
เส้นทางหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ : ITD เสนอราคาต่ำสุดที่ 5,807 ล้านบาท จากราคากลาง 7,305 ล้านบาท
นครปฐม-หัวหิน สัญญา 1 : บริษัท เอ เอส แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด (บริษัทนอกตลาดฯ) เสนอราคาต่ำสุดที่ 8,198 ล้านบาท จากราคากลาง 8,390 ล้านบาท
นครปฐม-หัวหิน สัญญา 2 : STEC เสนอราคาต่ำสุดที่ 7,520 ล้านบาท จากราคากลาง 7,677 ล้านบาท
มาบกะเบา-ชุมทางจิระ สัญญาที่ 1 : ITD เสนอราคาต่ำสุดที่ 7,560 ล้านบาท จากราคากลาง 7,700 ล้านบาท
ส่วนงานประมูลรถไฟฟ้าทางคู่ที่ยังมิได้ประมูลมีอีก 4 เส้นทาง 9 สัญญา มูลค่ากว่า 6.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่า จะมีการประมูลอีกต่อเนื่องหลังจากนี้ โดยวันที่ 5 ก.ย. 60 จะมีการประมูลแบบ E-Auction รถไฟทางคู่ช่วงประจวบ-ชุมพร สัญญา 1 และ 2 มูลค่ารวม 12,650 ล้านบาท ตามด้วยวันที่ 7 ก.ย. 60 มี E-Auction รถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา-จิระ สัญญา 3 ( งานอุโมงค์) มูลค่า 9,399 ล้านบาท และช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญาที่ 1 มูลค่า 10,147 ล้านบาท ซึ่ง UNIQ จะเข้าร่วมทุกโครงการที่กล่าวมา นอกจากนี้ในวันที่ 8 ก.ย. 60 UNIQ มีกำหนดเข้าร่วมประมูล E-Auction งานย้ายสายไฟลงดิน มูลค่า 2,000 ล้านบาท
จุดเด่นของ UNIQ เรื่องอัตรากำไรที่สูงสุดในบรรดาบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ และมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรทีชัดเจนในช่วง 3 ปีจากนี้ (2560-2562) รองรับด้วย Backlog ในมือปัจจุบัน ฝ่ายวิจัย ประเมิน Fair Value ที่ 25 บาท มี upside กว่า 36% เลือกเป็น Top pick
แม้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค แต่ยังซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 52 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) โดยเป็นการขายสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ไต้หวัน 64 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) และอินโดนีเซีย 42 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 ประเทศ ยังซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ 22 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทยที่ถูกต่างชาติซื้อสุทธิมากสุดในภูมิภาคราว 26 ล้านเหรียญ หรือ 870 ล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 5) ต่างกับนสถาบันในประเทศ ยังคงขายสุทธิ 1.03 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4)
ส่วนทางด้าน ตลาดตราสารหนี้ ทั้ง สถาบันในประเทศ และ ต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1.10 หมื่นล้านบาท 9.15 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามลำดับ ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปี สร้างจุดต่ำสุดของปีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.42%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636