- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 04 September 2017 18:17
- Hits: 1734
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดปรับตัวขึ้นทันที แกว่งตัวผันผวนที่อิงทางขึ้น ทำจุดสูงสุดของวันที่ 1624.37 จุด เพิ่มขึ้น 8.21 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาเล็กน้อย ทำจุดต่ำสุดของวันที่ 1617.33 จุด เพิ่มขึ้น1.17 จุด ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 7.04 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้แก่ PTT, WORK, KBANK, ADVANC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1618.42 จุด เพิ่มขึ้น 2.26 จุด (+0.14%) มูลค่าการซื้อขาย 44,762 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างแรงตั้งแต่ต้นสัปดาห์ จนสามารถเบรกผ่านเส้นแนวโน้มที่เป็นขาลงหลักที่ 1590 จุด ที่กดอยู่ และฝ่า 1600 จุดได้อย่างง่ายดาย ขึ้นทำ High ที่ 1626 จุด ซึ่งดูหมือนจะเบรก High เดิม (1619) ที่ทำไว้ ก.พ.58 แต่ไม่สามารถยืนได้ โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาอ่อนตัวลงมาทำปิดที่ 1618 จุด ทำให้ระยะส้นมีโอกาสอ่อนตัวลง เพื่อลดความร้อนแรงก่อนหน้านี้ แต่เชื่อว่าแนวโน้มหลักของดัชนียังคงเดินหน้าต่อ โดยมีเป้าหมายที่ 1630//1650 จุด ระยะสั้นมีแนวต้าน 1623-1626 จุด แนวรับ 1610-1615 จุด
แกว่งตัวผันผวน - ระยะสั้นมีโอกาสชะลอตัว แต่เป้าหมายหลักเดินหน้าต่อ
Support 1600-1590 จุด Resistance 1630 // 1650 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124 Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
"ขึ้นมาเร็วเกินไป"
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : ดัชนีฯมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากสัปดาห์ก่อน กรอบการเคลื่อนไหว 1608-1626 จุด .... การดีดตัวทะลุ 1600 จุด ขึ้นมาของ SET Index สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยระยะสั้น ยกฐานของดัชนีฯขึ้นมา สัปดาห์นี้ คาดน่าจะเห็นแรงขายทำกำไรช่วงสั้นเข้ามาในตลาด จากพายุ Harvey ที่กำลังผ่านพ้นไป การทดลองระเบิดไฮโดรเจนของเกาหลีเหนือ และยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด แต่ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญคือ จะมีเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหรือไม่ หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง underperform เมื่อเทียบกับตลาดดินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
กลยุทธ์การลงทุน : เหมาะกับการขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นมาแรงๆ และแนะให้นักลงทุนน่าจะรอดูจังหวะว่าการพักฐานของตลาด(ถ้ามี) ดัชนีฯจะลงมาถึงระดับใด ระหว่าง 1608-1616 จุด โดยพิจารณาจากนักลงทุนระดับสถาบัน-ต่างประเทศ จะเข้ามาซื้อหุ้นต่อหรือไม่ ..... สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในสัปดาห์นี้ จะเป็นกลุ่มที่ยังคง laggard กับตลาด คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาขึ้นมาไม่มาก หรือหุ้นที่ถูกกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : HTECH, BBL, ADVANC, JWD*, UTP, TKN, STEC
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : ARROW, LPH, TKN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเครำห์
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ประเมินดัชนีฯ จะแกว่งตัวในลักษณะของ sideway กรอบการเคลื่อนไหว ให้ไว้ที่ 1573-1596 จุด ..... ตลาดมีปัจจัยที่รอคอยหลายตัว อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจ และความคืบหน้ากฎหมายด้านสุขภาพของสหรัฐฯ ขณะที่ราคาน้ำมัน แม้จะมี rebound แต่มีความผันผวนสูง ด้านปัจจัยในประเทศ ตัวแปรด้านเศรษฐกิจดีขึ้น ตีมีความพะวงต่อผลประกอบการอยู่บ้าง การเข้าซื้อหุ้นของนักลงทุนจึงเลือกเล่นเพียงบางตัว และการซื้อขายจะเบาบางลงใช่วงปลายสัปดาห์ คาดจากนักลงทุนสถาบันผ่อนแรงซื้อ-ขายลง
กลยุทธ์การลงทุน การเข้าลงทุนยังต้องเป็น "selective buy" เพราะตลาดขยับตัวน้อยและเปลี่ยนตัวเล่นอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ควรให้ความสนใจกับค่าดอลล่าร์-Bond Yield เนื่องจากเป็นตัวชี้นำการโยกย้ายเงินลงทุน ... สัปดาห์นี้ แนะคงเงินสดในพอร์ตไว้ 30% เน้นหุ้นเสี่ยงต่ำ หุ้นอิงรายได้จากการลงทุนภาครัฐฯ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,618.42 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่ +42.57 จุด หรือ +2.70% ตลาดปรับตัวขึ้น คาดเป็นผลมาจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่คลี่คลายลง และปัจจัยลบต่างประเทศเช่น การลดมาตรการ QE และราคาหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ผลกระทบจากพายุ Harvey ต่อราคาน้ำมันดิบ-ปิโตรเคมี ยังมีอยู่ แต่นักลงทุนรับรู้ไปมากแล้ว ผลกระทบจากพายุ Harvey ส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีหยุดผลิต .... ประเด็นดังกล่าวมีน้ำหนักไปในทางบวกต่อหุ้นไทย โดยเฉพาะปิโตรเคมีต้นน้ำและโรงกลั่นน้ำมัน จาก spread ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หรือยืนในระดับสูงไปอีกระยะ แต่ราคาหุ้นตอบรีบไปมากแล้ว
ประเด็นทางการเมืองสหรัฐฯ นโยบายลดภาษีนิติบุคคล อยู่ระหว่างการจัดทำแผนปฏิรูปเพื่อพลักดันนโยบายนี้เป็นกฎหมายบังคับใช้ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่ด้านกฎหมายปรับเพิ่มหนี้สาธารณะของสหรัฐฯยังคงไม่มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลต้องขยายให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดชำระหนี้ และจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจ
การทดลองระเบิดไฮโดเจนครั้งที่ 6 ของเกาหลีเหนือ เพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคที่ให้มากขึ้น เช้าวันอาทิตย์ มีรายงาน่าเกาหลีทดสอบระเบิดไฮโดรเจน ส่งผลให้ชาติมหาอำนาจ ต่างออกมาแสดงการตอบโต้ในทันที และจะทำให้แรงกดดันต่อเกาหลีเหนือมีมากขึ้น ผลต่อตาด จะทำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ มากขึ้น (ทองคำ-พันธบัตร)
ภาพเศรษฐกิจในประเทศเป็นบวก, ติดตามการประมูลรถไฟทางคู่ เรามองตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยที่ต้องติดตามดังนี้
1) ตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยออกมาดี โดย ธปท.รายงานมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของเดือน ส.ค. อยู่ที่ 100.64 ปรับตัวขึ้น +0.32% YoY และขยายตัว +0.11% จากเดือนก.ค.60
2) การเปิดประมูลโครงการรถไฟทางคู่จำนวนมากในสัปดาห์นี้ รวมมูลค่าประมาณ 41,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงรถไฟทางคู่สาย มาบกะเบา-จิระ สัญญา 3 มูลค่า 9,400 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 07/09/2017, ประจวบฯ-ชุมพร สัญญา 1 และ 2 รวมมูลค่า 12,600 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 05/09/2017, ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 1 มูลค่า 10,200 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 07/09/2017, และ ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 2 มูลค่า 8,800 ล้านบาท เปิดประมูลวันที่ 04/09/2017
3) คาด ครม. ในอาทิตย์นี้จะมีการอนุมัติมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
Fund Flow สัปดาห์ที่ผ่านมา การซื้อขายในตลาดหุ้นและพันธบัตรในตลาดเอเซีย นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นในระดับที่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรมากกว่า น่าจะมาจากคาดว่านโยบายการเงิน โดยเฉพาะการปรับลด QE ของ Fed และ ECB จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ตัวแปรสำคัญของภูมิภาคยังเป็นสถานการณ์เกาหลีเหนือ คาด Flow จากนักลงทุนต่างประเทศยังไหลเข้าตลาดเอเซียเช่นเดียวกับสัปดาห์ก่อน
ปัจจัยสำคัญของสัปดาห์นี้ (4-8 ก.ย.60)
ผลกระทบจากพายุ Harvey ของสหรัฐฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งที่หนุนราคาหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กำลังหมดลง และน่าจะเห็นแรงขายทำกำไรหุ้นดังกล่าวเข้ามาในตลาด แม้จะได้อานิสงค์ต่อผลการดำเนินงาน 3Q-17 ก็ตาม
การทดลองระเบิดไฮโดรเจนของเกาหลีเหนือ อาจมีผลต่อเงินที่ไหลออกจากภูมิภาคนี้ และนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ มากขึ้น
ค่าเงินบาท ปิดวันศุกร์ไปที่ 33.13 บาท/ดอลล่าร์ เป็นผลจากเงินไหลเข้า ตัวเลขเงินทุนสำรองฯ ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง (สัปดาห์ล่าสุด 1.94 แสนล้านบาท) หนุนค่าเงินบาทให้แข็งค่าต่อ แต่เงินไหลเข้าส่วนใหญ่จะเข้าไปยังตลาดพันธบัตร สอดคล้องกับเงินที่ไหลเข้าในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม กลุ่ม(หุ้น)ผู้ส่งออกจะยังเป็นลบจากการแข็งค่าของเงินบาท
สัปดาห์นี้ จะมีการเปิดประมูลรถไฟทางคู่รวม 3 เส้นทาง
สัปดาห์นี้ ตลาดจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป(7) ตัวเลข GDP(q2) ของยุโรป ตัวเลขเดิม 2.2% ว่าจะมีท่าทีอย่างไรก็ต่อมาตรการทางการเงิน และตัวเลขส่งออกของจีน (8)
ทิศทางตลาดหุ้น ดัชนีฯมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากสัปดาห์ก่อน กรอบการเคลื่อนไหว 1608-1635 จุด .... การดีดตัวทะลุ 1600 จุด ขึ้นมาของ SET Index สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยระยะสั้น ยกฐานของดัชนีฯขึ้นมา สัปดาห์นี้ คาดน่าจะเห็นแรงขายทำกำไรช่วงสั้นเข้ามาในตลาด จากพายุ Harvey ที่กำลังผ่านพ้นไป และยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด แต่ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญคือ จะมีเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหรือไม่ หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง underperform เมื่อเทียบกับตลาดดินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ เหมาะกับการขายทำกำไรหุ้นที่ขึ้นมาแรงๆ และแนะให้นักลงทุนน่าจะรอดูจังหวะว่าการพักฐานของตลาด(ถ้ามี) ดัชนีฯจะลงมาถึงระดับใด ระหว่าง 1608-1616 จุด โดยพิจารณาจากนักลงทุนระดับสถาบัน-ต่างประเทศ จะเข้ามาซื้อหุ้นต่อหรือไม่ ..... สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในสัปดาห์นี้ จะเป็นกลุ่มที่ยังคง laggard กับตลาด คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาขึ้นมาไม่มาก หรือหุ้นที่ถูกกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
เราแนะนำให้ขายทำกำไรช่วงสั้น สำหรับหุ้นโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี หลังพายุ Harvey ที่เบาลง และไปรอดูเฮอร์ริเคน "Irma" ที่กำลังเดินทางเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก ว่าจะเป็นอย่างไร .... แม้โรงกลั่นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ของสหรัฐฯ จะยังมีการหยุดผลิตหรือใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ราคาหุ้นได้ตอบสนองไปมาก และมี upside เหลืออยู่ไม่มาก
หุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ ที่ปรับตัวขึ้นมาไม่มาก ไม่โอกาสที่นักลงทุนจะสลับเข้ามาลงทุน หรือจะมีข่าวเข้ามาในระหว่างสัปดาห์ อาทิเช่น ADVANC , STEC เป็นต้น
หุ้นนอกสายตา ที่ราคาปรับตัวลงมามาก หรือมีข่าว ก็เป็นหุ้นที่นักเก็งกำไรน่าจะให้ความสนใจด้วย หากหุ้นใหญ่มีการพักตัว อาทิ LPH , NDR , TKN , TU , ARROW
หุ้นนำเสนอข้อมูลในงาน Op Day สัปดาห์นี้ TPBI, MODERN, EA, EPG, NDR, MEGA, PJW, SENA, WICE, BKD, KOOL, MCS, COL, TPCH, SAPPE, UTP, IHL, BM, DRT, AIT, TKT, LIT, BCP, LHK, RJH, MOONG
Analyst : Mongkol Puangpetra +662 648 1123 [email protected]
Nontapat Rushtasomboon +662 648 1127 [email protected]