- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 21 August 2014 18:41
- Hits: 2891
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“Domestic Play หนุนตลาด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มีภาพตลาดวันก่อน : ปรับขึ้นทดสอบ 1550 จุด ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิด +7.92 จุด ที่ 1550.77 มูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าจะไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน แต่การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจและผลประกอบการภาคธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และจะฟื้นตัวได้ตั้งแต่ 2H57 เป็นต้นไป รวมทั้งอัตราผลตอบแทนการลงทุนใน Asset Class ประเภทอื่นๆ ยังไม่จูงใจมาก ช่วยหนุนให้นักลงทุนยังคงเลือกซื้อหุ้นต่อ นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติซื้อสุทธิ ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
ปัจจัยและกลยุทธ์ : Domestic Play หนุนตลาด ภาพการเร่งเดินหน้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ & เอกชนช่วยหนุนตลาดและเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ซึ่งรวมถึงขนส่งและท่องเที่ยวด้วย ซึ่งหุ้นที่สัญญาณระยะสั้นเด่นในกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ BBL, KTB, KBANK, CK, STEC,AOT, MINT, CENTEL เป็นต้น นอกจากนั้นกลุ่มสื่อสารก็มี Sentiment ที่ดีขึ้น โดยคาดว่าอาจจะมีการเปิดประมูลคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz เพื่อพัฒนาเป็น 4G ได้เร็วขึ้น หลังจากที่ป.ป.ช.ไม่ชี้มูลความผิดกทค.กรณีมีคำร้องให้ตรวจสอบเรื่องทุจริตการประมูลฯ หุ้นเด่นที่ธุรกิจยังไปได้ดีและจ่ายปันผลสูง คือ ADVANC, INTUCH และ DTAC ปัจจัยจับตา คือ การปฎิรูปโครงสร้างพลังงานของไทย, รายชื่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (วันนี้ประกาศชื่อนายกฯ ซึ่งคาดว่าจะเป็นพล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าคสช.), ถ้อยแถลงของประธานเฟดในการประชุมผู้นำด้านเศรษฐกิจและการเงินระดับโลกในวันที่ 21-23 ส.ค.นี้ หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น AOT
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1535 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1510-1500 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1560, 1570 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ AOT, CK, STEC, CCP, AP, QH, KTB, BBL, BCP ส่วนหุ้นที่ทำ New Highแล้วให้หาจังหวะ Take Profit คือ CSS
Fundamental Pick
AOT แนะนำซื้อราคาปิด 224 บาท เป้าหมาย 237 บาท
* คาดว่าธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q57 (เม.ย.-มิ.ย.57) และค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q57ทั้งนี้จำนวนผู้โดยสารในเดือนก.ค.57 มีอัตราการลดลงเป็น 4.5%YoY จากที่ติดลบ 10.7%YoYในเดือนมิ.ย.57 แล้วเติบโตชัดเจนใน 1Q58 ซึ่งตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย รวมทั้งทางการไทยได้ยกเว้นการทำวีซาให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.ซึ่งเป็นช่วงท่องเที่ยวของชาวจีนด้วย (เดือนต.ค.มีวันหยุดยาว เนื่องในวันชาติจีน)
* ผู้บริหารคาดว่าการพิจารณางบประมาณโครงการลงทุนของ AOT จะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนก.ย.57 นี้ ซึ่งรวมถึงโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ให้รับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นเป็น 60ล้านคน/ปีในปี 60, การพัฒนาสนามบินดอนเมืองให้รับผู้โดยสารได้เพิ่มเป็น 30 ล้านคน/ปีภายปี58 และเป็น 60 ล้านคน/ปีภายในปี 60 และพัฒนาสนามบินภูเก็ตได้รับผู้โดยสารได้ 12.5 ล้านคน/ปีภายในปี 59 โดย Capacity รองรับผู้โดยสารของบริษัทที่จะเพิ่มมากขึ้น ช่วยหนุนการเติบโตของรายได้และกำไรในระยะยาว
* แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 237 บาท (DCF)
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
* สหรัฐ : เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายมองว่าถ้าการฟื้นตัวบรรลุเป้าหมายเร็วกว่าคาด ก็เหมาะสมที่จะยกเลิกนโยบายผ่อนคลายการเงินเร็วกว่าที่กำหนด
* เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินครั้งล่าสุด ซึ่งระบุว่า "เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการบรรลุเป้าหมายของคณะกรรมการเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก ก็อาจเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะเริ่มยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเร็วขึ้นกว่าที่คาดกันไว้ในปัจจุบัน" รายงานดังกล่าวส่งผลให้มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด และเป็นปัจจัยที่หนุนดอลลาร์สหรัฐให้แข็งแกร่ง
* ผู้ว่าการธนาคารกลางและนักเศรษฐศาสตร์จากทั่วโลกจะเริ่มการประชุมสุดยอดประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันนี้ โดยนักลงทุนต่างให้ความสนใจอย่างมากกับถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เพื่อประเมินสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
•/+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ซื้อขายผันผวน
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,979.13 จุด เพิ่มขึ้น 59.54 จุด หรือ +0.35% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,526.48 จุด ลดลง 1.03 จุด หรือ -0.02% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,986.51 จุดเพิ่มขึ้น 4.91 จุด หรือ +0.25% นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังจะรายงานออกมา ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนส.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เป็นต้น
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นหลัง EIAรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเกินคาด
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 1.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 96.07 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ ปิดที่ 102.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ส.ค.ปรับตัวลดลง 4.5 ล้านบาร์เรล แตะที่ 362.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.75 ล้านบาร์เรล
- สัญญาทองคำ COMEX : ซึมลงต่อ
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 1.5ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 1295.2 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนางเจนเน็ตเยลเลน ประธานเฟดซึ่งจะมีขึ้นในการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮล มลรัฐไวโอมิง ในวันที่22 ส.ค. โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "Re-Evaluating Labor Market Dynamics" ซึ่งบรรดาผู้ว่าการธนาคารกลาง นักเศรษฐศาสตร์ รัฐมนตรีคลัง และเจ้าหน้าด้านอื่นๆจากทั่วโลก รวมถึงนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป จะเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินในการประชุมดังกล่าวด้วย
ปัจจัยในประเทศ
+ ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนก.ค.57 สูงสุดรอบ 8 เดือน...เป็นภาพบวก และเชื่อว่ากลุ่มที่เป็น Domestic Play &ท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ
* นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าผลสำรวจดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนก.ค.57 อยู่ที่ 89.7 เพิ่มขึ้นจาก 88.4 ในเดือน มิ.ย. เป็นการปรับตัวดีขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน นับแต่เดือนธ.ค.56เป็นต้นมา ส่วนความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 103.1 เพิ่มขึ้นจาก 101.9 ในเดือน มิ.ย.
* ความเห็น Retail Research : นับเป็นข่าวบวกที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีแนวโน้มจะฟื้นตัวดีขึ้น แม้ว่าบางอุตสาหกรรมยังซบเซา เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยานยนต์ & ชิ้นส่วน, กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร, HDD เป็นต้น แต่ก็มีสัญญาณที่ดีขึ้น และคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีในปี 58ทั้งนี้ความคืบหน้าในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐและภาคเอกชน เป็นตัวกระตุ้นใหธุรกิจ SME ซึ่งอยู่ใน Supply Chain ของการก่อสร้างขนาดใหญ่มีการฟื้นตัวและเติบโตดีขึ้นด้วยในปีหน้า ส่วนกลุ่มที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน คาดว่าจะฟื้นตัวได้ชัดเจนตั้งแต่4Q57 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) เรายังมุมมองที่เป็นบวกกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์และการลงทุนในประเทศ กลุ่มขนส่ง และกลุ่มโรงแรม & ท่องเที่ยว หุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ BBL, KTB, KBANK, SCC, CK, STEC, GFPT, MINT, PS, QH, SPALI,CPN, AOT, BTS
+ กลุ่มยานยนต์ & ชิ้นส่วน : มาสด้าเตรียมย้ายการผลิตรถมาสด้า 2 แฮตช์แบ็กจากญี่ปุ่นมาไทยเหตุต้นทุนถูกกว่า
* บริษัท มาสด้า ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นเตรียมแผนย้ายฐานการผลิตรถยนต์ของบริษัทรุ่นนิวมาสด้า 2 แฮตช์แบ็กที่ส่งขายไปยังออสเตรเลียมายังไทยแทน เพราะตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ของไทยกำลังเติบโตและต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าที่ญี่ปุ่น
* ความเห็น Retail Research : เป็นข่าวดีกับอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนของไทยในระยะกลาง-ยาว ทั้งนี้แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังซบเซาในช่วง 6 เดือนข้างหน้า แต่ก็มีสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ใหม่ที่เริ่มฟื้นตัว เราคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มยานยนต์จะพลิกฟื้นเป็นเติบโตได้ 12% จากที่ติดลบ 10% ในปีนี้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อลงทุนระยะยาวโดยหุ้นแด่นเป็น SAT (ราคาพื้นฐาน 22.5 บาท), STANLY (ราคาพื้นฐาน 246 บาท)
• คาดพล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าคสช.ได้โหวตเป็นนายกรัฐมนตรี
* วิปสนช.กล่าวว่าจะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันนี้ โดยตามข้อบังคับต้องมีเสียงโหวตเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าผู้ที่จะได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี คือ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]