- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 August 2017 15:49
- Hits: 2370
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือค่าบวก,หรือซื้ออ่อนที่ไม่หลุด 1600'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index พุ่งแรงหลังความกังวลการเมืองในประเทศผ่อนคลายลง ต่างชาติ สถาบันในปท.และพอร์ตบล. ประสานกันซื้อสุทธิ 4.8 พันลบ. 5.2 พันลบ. และ 2.3 พันลบ. ตามลำดับ กลุ่มที่ขึ้นมากกว่า SET คือ ธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง (SCC), สื่อสาร, ปิโตรเคมี, อสังหาริมทรัพย์, ขนส่ง ส่วนพลังงานปรับขึ้นพอๆ กับตลาด ปิดตลาด SET +28.35 จุดที่ 1614.14
ประเด็นสำคัญวันนี้ : ปัจจัยต่างประเทศ – ความกังวลความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีคลายลง หลังทรัมป์ไม่ได้ตอบโต้การยิงขีปนาวุธเกาหลีเหนือรุนแรง และก.ต่างประเทศยืนยันที่จะใช้มาตรการทางการทูตก่อน พร้อมกันนั้นนวค.บางรายประเมินว่าพายุเฮอริเคนฮาร์วีย์อาจทำให้คองเกรสและคณะทำงานทรัมป์หันหน้าเจรจาเรื่องการขยายเพดานหนี้&งบประมาณ เพื่อเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนที่เดือดร้อน ส่วนดัชนีค่าเงิน US$ ยังอ่อนระดับ 92.3 ปัจจัยติดตาม คือ รายงาน GDP งวด 2Q60 ครั้งที่ 2 ของสหรัฐ ซึ่งตลาดคาดว่าจะ +2.7%
ปัจจัยในประเทศ – ในระยะสั้น Sentiment ตลาดหุ้นไทยยังเป็นบวก หุ้น Big Cap มีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ โดยเฉพาะตัวที่ราคา Laggard จากกลุ่ม (เช่น กลุ่มแบงค์เป็น BBL, SCB กลุ่มสือสารเป็น ADVANC, INTUCH กลุ่มพลังงานเป็น PTT กลุ่มท่องเที่ยวเป็น MINT กลุ่มอสังหาฯเป็น ANAN, AP กลุ่มรับเหมาฯเป็น STEC เป็นต้น) และเมื่อหุ้น Big Cap ปรับขึ้นแล้ว ก็น่าเป็นรอบของหุ้นกลาง-เล็กพื้นฐานดีที่จะขึ้นตามมา หุ้นในหมวดนี้ที่เราชอบได้แก่ COM7, SEAFCO, MTLS, ERW, SPALI, ORI, GFPT แนะซื้อเมื่อตลาดยังอยู่ในแนวโน้มดี
กลยุทธ์ลงทุน : มีหุ้นอยู่แล้วอยากถือต่อเพื่อหวังตัวเลข SET 1620 หรือสูงกว่า ดัชนีไม่ควรต่ำกว่า 1602 จุด (ส่วน SET Index Target ปีนี้เราให้ไว้ที่ 1650 จุด- Median+1SD) ส่วนการซื้อใหม่ยังเน้นเลือกซื้อเป็นรายบริษัท (Selective Buy) หุ้นกลยุทธ์แนะนำรายสัปดาห์ช่วง 30 ส.ค.- 5 ก.ย. 60 เป็น BBL (Value Play) และ MINT (Growth Play) สำหรับที่หุ้นแนะนำไปสัปดาห์ก่อน คือ COM7 และ KBANK พบว่าให้ผลตอบแทนเท่ากับ +3.2% และ +2.8% ตามลำดับ (SET +2.6%)
+ BBL : ราคาหุ้นต่ำกว่า BVS ขณะที่ธุรกิจมีกำไร คาดสินเชื่อ 2H60 โตดีขึ้นเมื่องานรัฐคืบหน้า และบริษัทต่างๆกลับมากู้แบงค์หลังการออกหุ้นกู้/ตั๋ว B/E ไม่ง่ายเหมือนก่อน คาด NPL ช่วง 2H จะเพิ่มไม่มาก ด้าน Yield ปันผลก็สม่ำเสมอราว 3+% ต่อปี เราให้ TP 195 บาท
+ MINT : คาดกำไร 2H60 จะดีขึ้น HoH หนุนโดยรายได้จากโรงแรมที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะ Tivoli ในโปรตุเกสที่จะมี RevPar โตเป็นสองหลักได้ธุรกิจอาหารเข้าสู่ High season การควบคุมค่าใช้จ่ายยังทำต่อเนื่องส่งผลให้มาร์จิ้นอาหารอยู่ในเกณฑ์ดี แนะซื้อ ให้ TP 46 บาท
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ตลาดเป็นบวก เน้นซื้อตามค่าบวก แนวต้าน 1620-1630 จุด หลุด 1600 ดูไม่ค่อยดีอาจต้อง Stop loss ก่อน สำหรับการ SCAN หุ้นที่คาดว่าราคาจะทำ New High ได้ พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น TCAP, TASCO, AMATA, BTS, EA หุ้นยังอยู่ใน List คือ WORK, SQ หุ้นหลุด List เป็น PSL ส่วนหุ้นแนะนำที่ให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น TOP, CPN, PTTGC, BJC, BEC
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับขึ้นดีกว่าคาดในเดือนส.ค.
# Conference Board ระบุว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 122.9 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 120.3 โดยได้แรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคประเมินสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันในทิศทางที่ดี และมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อตลาดแรงงาน
# ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศสหรัฐเดือนมิ.ย. +5.8%YoY ต่อเนื่องจาก +5.7%YoY ในเดือนพ.ค. โดยราคาบ้านที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ประกอบกับอุปทานบ้านที่ต่ำ
+ ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกได้
# ดัชนี DJIA ปิดเพิ่มขึ้น 56.97 จุด หรือ +0.26% ดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 18.87 จุด หรือ +0.30% และดัชนี S&P500 ปิดเพิ่มขึ้น 2.06 จุด หรือ +0.08%
# ความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเริ่มน้อยลง หลังปธน.ทรัมป์ไม่ได้ออกมาใช้ถ้อยคำที่รุนแรงในการตอบโต้เกาหลีเหนือเหมือนครั้งก่อน และนักวิเคราะห์บางรายมองว่าผลกระทบรุนแรงจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์อาจช่วยให้คณะทำงานของปธน.ทรัมป์และผู้นำสภาคองเกรส หันหน้าเจรจากันในเรื่องงบประมาณและการปรับเพิ่มเพดานหนี้เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
# ติดตามรายงานจีดีพีประจำ 2Q60 ครั้งที่ 2 ของสหรัฐ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะ +2.7%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคา WTI อ่อนลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. -13 เซนต์ หรือ -0.3% ปิดที่ 46.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT +11 เซนต์ หรือ +0.2% ปิดที่ 52.00 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้โรงกลั่นแถวอ่าวเม็กซิโกพากันปิดทำการและลดกำลังการผลิตเนื่องจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์
# ติดตามรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์สิ้นสุด 25 ส.ค.ของสหรัฐ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาปรับขึ้นต่อ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 3.60 ดอลลาร์ หรือ +0.27% ปิดที่ 1,318.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 11 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.ปีที่แล้ว
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
+ EA : ลงทุนทำสถานีบริการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า...คาดมี 1 พันแห่งภายในปี 61
# รุกธุรกิจบริการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทย่อยของ EA คือ บริษัทพลังงานมหานครมีแผนลงทุน 60 ล้านบาทในเฟสที่ 1 ติดตั้งและเปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1,000 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลคาดว่าจะเสร็จภายในปี 2561 สถานีอยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้า "EA Anywhere" โดยร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในการเตรียมความพร้อมด้านการใช้งานรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.2 ล้านคันภายในปี 2579
# โครงการผลิตแบตเตอรี่รองกับการกักเก็บไฟฟ้า (Energy Storage) เฟสที่ 1 กำลังผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (Gwh) ใช้เงินลงทุน 3 พันล้านบาท คาดว่าจะเสร็จและดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 62 และกำลังศึกษาลงทุนในเฟสที่ 2 ต่อเพื่อให้มีกำลังการผลิตถึงระดับ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมง (Gwh) ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงระดับแสนล้านบาทโดยส่วนนี้จะลงทุนร่วมกันพันธมิตรธุรกิจ
# โครงการโรงไฟฟ้าในอนาคต ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 260 MW ในประเทศ ซึ่งกำลังดำเนินการคาดว่าจะ COD ได้ใน 2H61, โรงไฟฟ้าในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และฟิลิปปินส์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างศึกษา โดยอาจเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรหรือเข้าซื้อกิจการ
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เป็นบวกในระยะยาวกับบริษัท เพราะเราเชื่อว่าทิศทางรถยนต์จะต้องไปในทางรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน และความต้องการใช้สถานีบริการชาร์จแบตฯก็ต้องมีด้วยเช่นกัน ส่วนในช่วงปี 60-61 บริษัทยังเติบโตจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ จ.พิษณุโลก ขนาด 90 MW ที่เข้ามาเต็มปี 60 และโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 126 MW ที่จะเริ่ม COD ใน 2H60 และรับรู้เต็มปี 61 ทั้งนี้เมื่อถึงสิ้นปี 60 บริษัทคาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ COD แล้ว 404 MW แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 278 MW และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 126 MW
• กระทรวงการคลังไม่เลื่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เดินหน้าบังคับใช้ม.ค.2562
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่าการบังคับใช้ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยัง เดินหน้าตามแผนที่จะประกาศใช้วันที่ 1 ม.ค. 2562 โดยไม่ได้มีประเด็นจะต้องเลื่อนการบังคับใช้ออกไปแต่ประกาศใด ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ต่อไป
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]