- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 29 August 2017 15:59
- Hits: 6095
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ระวังการแกว่งบริเวณ 1590+/-'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index บวก 9.94 จุดปิดที่ 1585.79 นำโดยกลุ่มแบงค์, สื่อสาร, โรงกลั่น และหุ้นกลาง-เล็กที่มีแนวโน้มดีใน 2H60 ทั้งนี้กลุ่มที่ซื้อสุทธิเป็นสถาบันในปท. รายย่อย และพอร์ตบล. ด้านต่างชาติยังขายสุทธิต่อ 1.9 พันลบ.ประเด็นสำคัญวันนี้ : ปัจจัยต่างประเทศ – เช้านี้เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิค โดยทางนายกฯญี่ปุ่นประนามว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของญี่ปุ่นและประท้วงพฤติการณ์อุกอาจของเกาหลีเหนือ ซึ่งประเด็นนี้เป็น Sentiment ทางลบต่อการลงทุนในภูมิภาคเช้านี้ ด้านค่าเงิน US$ ก็อ่อนลงในช่วงนี้ เนื่องจาก 1. พายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัส, 2. คาดประเทศขนาดใหญ่รวมถึงสหรัฐอาจไม่ขยับดอกเบี้ยหรือโครงการ QE ในช่วงที่เหลือปีนี้, 3. ความไม่แน่นอนของนโยบายและมาตรการทรัมป์ว่าจะเกิดขึ้นได้ตามที่หาเสียงไว้หรือไม่ ปัจจัยติดตาม คือ รายงานตัวเลขจ้างงานอกภาคเกษตรเดือนส.ค.สหรัฐที่จะออกมาศุกร์นี้
ปัจจัยในประเทศ – การอ่อนค่าของเงิน US$ ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นและส่งผลกระทบต่อรายได้ & มาร์จิ้นบริษัทที่มีรายได้ส่งออกสุทธิมาก เช่นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ เป็นต้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่กระจายตัวทำให้การเติบโตของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมยังจำกัด อย่างไรก็ดี มีความคาดหวังว่าการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยว การส่งออก จะไปได้ดีใน 2H60
กลยุทธ์ลงทุน : ระยะสั้นมากควรระวังการแกว่งหลังจาก SET ขึ้นมาในพื้นที่แนวต้าน 1590+/- ที่ไม่สามารถผ่านและยืนได้อย่างมั่นคงมาหลายครั้ง ส่วนการซื้อใหม่ยังเน้นเลือกซื้อเป็นรายบริษัท (Selective Buy) ซึ่งหุ้นกลยุทธ์แนะนำของสัปดาห์ 23-30 ส.ค.ของเราเป็น COM7(Growth Play) และ KBANK (Value Play) ส่วนหุ้นปันผลเด่นเป็น KKP (ประกาศปันผลระหว่างกาล 2 บาท/หุ้น กำหนด XD 5 ก.ย. ชำระเงิน 22 ก.ย. ณ ราคาหุ้น 69.75 บาทคิดเป็น Interim Dividend Yield 2.86%)
+ CPN : แนวโน้มการเติบโตสดใส โดยในเดือนพ.ย.ปีนี้จะเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่งที่ โคราช และมหาชัย และในปี 61 จะเปิดที่ภูเก็ต-เฟส 2 (ก.พ.61) และรัฐสลังงอ มาเลเซีย (ต.ค.61) รวมทั้งต้นปีหน้าจะเริ่มรับรู้รายได้จากคอนโด 3 แห่งมูลค่ารวม 3 พันลบ. บริษัทจะขายศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา (56% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมด) และโรงแรมฮิลตัน พัทยา (100% ของทั้งหมด) ให้กองทุน CPNRF ที่ราคา 11.9 พันลบ. ยังผลให้มีเม็ดเงินเข้ามาดำเนินธุรกิจต่อโดยไม่ต้องกู้ยืม & ทยอยบันทึกกำไรจากการขาย แนะซื้อ ให้ TP 78 บาทวิเคราะห์ทางเทคนิค : ตลาดเป็นบวก เน้นซื้อตามค่าบวก แนวต้าน 1590, 1600 จุด Stop loss ถ้าต่ำกว่า 1575 สำหรับการ SCAN หุ้นที่คาดว่าราคาจะทำ New High ได้ พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น CPN, PTTGC, BJC, PSL, BEC หุ้นยังอยู่ใน List คือ WORK, SQ, TOP หุ้นหลุด List –ไม่มี- ส่วนหุ้นแนะนำที่ให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น IRPC, TISCO, TMB, TFG, MEGA
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค& Reseach Team – [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
- ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เช้านี้ร่วงราว 0.4%...วิตกเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามเกาะญี่ปุ่นเช้านี้
# กระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ "เพนตากอน" ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธลอยข้ามประเทศญี่ปุ่นก่อนไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงเช้านี้เวลา 05.58 ตามเวลาญี่ปุ่น แต่สหรัฐไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงในครั้งนี้เป็นขีปนาวุธชนิดใด
# นักลงทุนเกิดความวิตกว่า สถานการณ์ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีอาจทวีความรุนแรงขึ้น ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า ณ เวลา 7.50 น. เช้านี้ตามเวลาไทยลดลง 92 จุด หรือ -0.42%
+/• สหรัฐ : สต็อกสินค้าคงคลังก.ค.เพิ่มขึ้นดี แต่ภาคผลิตเดือนส.ค.อ่อนลง
# สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งในเดือนก.ค. +0.4%MoM สู่ 6.012 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งนี้การที่ภาคธุรกิจเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลังจะถือเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจะมีส่วนสนับสนุนการขยายตัวของจีดีพี
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตขยับตัวลงสู่ระดับ 20.3 ในเดือนส.ค. จากระดับ 22.8 ในเดือนก.ค.
# จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ด้านนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.จะขยายตัว 180,000 ตำแหน่ง หลังจากที่ขยายตัวมากกว่า 200,000 ตำแหน่งติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือนก่อนหน้านั้น และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนส.ค.จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 4.3%
• ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดัชนีปิดเปลี่ยนแปลงไม่มาก หุ้นเทคโนโลยีนำตลาด
# ดัชนี DJIA ปิดลดลง 5.27 จุด หรือ -0.02% ดัชนี S&P500 ปิดเพิ่ม 1.19 จุด หรือ +0.05% และดัชนี Nasdaqปิดเพิ่ม 17.37 จุด หรือ +0.28% การซื้อขายซบเซา เพราะวิตกกังวลผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ หุ้นโรงกลั่นปรับลงหลังจากผู้ประกอบการปิดโรงกลั่นในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นดีและช่วยพยุงดัชนีไม่ไห้ลดลงมาก
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคา WTI ลดลงแรงกว่าเพราะโรงกลั่นยักษ์ใหญ่ในสหรัฐปิดชั่วคราว
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.30 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 46.57 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านBRENT ลดลง 52 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 51.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้โรงกลั่นหลายแห่งต้องปิดดำเนินการเพราะพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ เช่น เอ็กซอน โมบิล, รอยัล ดัชท์ เชลล์ ส่งผลให้ความต้องการซื้อน้ำมันดิบลดลง ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบยังคงสูง
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาพุ่งขึ้นแรง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 17.40 ดอลลาร์ หรือ 1.34%ปิดที่ระดับ 1,315.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุน คือ ค่าเงิน US$ ที่อ่อนลง ซึ่งเป็นผลจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัส ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองฮุสตัน ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ, คาดประเทศขนาดใหญ่รวมถึงสหรัฐอาจจะยังไม่ขยับนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยหรือโครงการ QE และความไม่แน่นอนของมาตรการทรัมป์ ว่าจะเกิดขึ้นได้ตามที่หาเสียงไว้หรือไม่
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
+ KBANK : ลงทุน 660 ล้านบาทถือหุ้น 9.99% ในแมสเปี้ยนแบงค์ อินโดนีเซีย
# KBANK ปักธงเป็นธนาคารเออีซี+3 - นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ KBANK เปิดเผยว่าธนาคารได้เข้าไปถือหุ้นในธนาคารแมสเปี้ยน (Bank Maspion) ประเทศอินโดนีเซีย 9.99% ถือเป็นการซื้อหุ้นในธนาคารต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยใช้เงินลงทุน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 660 ล้านบาท รองรับการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และในอีก 3-5 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่จะถือหุ้นเพิ่ม
# เกี่ยวกับธนาคารแมสเปี้ยน – ธนาคารอยู่ใน Maspion Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของอินโดนีเซียทำธุรกิจการเงินการธนาคาร ค้าปลีกค้าส่ง โลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ เป็นผู้เล่นอันดับหนึ่งในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคแบบถาวร เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในครัวเรือน มีฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ใน5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2012-2016) ธนาคารมีกำไรและเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยในปี 2016 มีรายได้เติบโต 6%
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ – การลงทุนในต่างประเทศกับพันธมิตรทางธุรกิจเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยหนุนธุรกิจให้เติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น (โดยใช้เงินลงทุนครั้งนี้ไม่มากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารที่มีราว 2.85 ล้านล้านบาท และกำไรสุทธิปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท) เราคาดว่า KBANK จะหาโอกาสลงทุนเพิ่มเติมต่อในอนาคตถ้าการลงทุนรอบนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSVประเมินราคาพื้นฐาน KBANK ไว้ที่ 208 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]