- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 01 August 2017 16:43
- Hits: 957
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
หุ้นปิโตรเลี่ยมยังทรงตัว แม้ราคาน้ำมันดิบยืน 51 เหรียญฯ (หนุน PTT, PTTEP, BANPU) แต่ยังถูกกดดันแรงขายทำกำไรระยะสั้นหุ้น real sector หลังรายงานงบ 2Q60 กดดัน SET แกว่งตัว กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นปันผลเฉพาะกาลเด่น (KKP, TCAP, LH, GLOW) และยังชอบ BANPU (FV@B24) หุ้น Laggard สวนทางราคาถ่านหินฟื้นตัวกว่า 27% ช่วง 2 เดือน และ BEAUTY([email protected]) เป็นหุ้นเติบโตสูงสุดตามกระแสรักษ์สุขภาพกำไร 2Q60 เติบโต 40%yoy Top pick เลือก COM7([email protected]) ปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นจากเดิม 11% รับรู้กำไรจากธุรกิจใหม่
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย..แรงขายหุ้นใหญ่รับงบ 2Q60 ยังมีอยู่
วานนี้แม้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงระหว่างวันถึง 12 จุด แต่ปิดติดลบเพียง 4.98 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 5.7 หมื่นล้านบาท แต่หากตัด Big Lot หุ้น BJC ราว 5.98 พันล้านบาท มูลค่าการซื้อขายก็ยังสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ และกองทุนในประเทศเทขายหุ้นไทยกว่า 7.16 และ 3.53 พันล้านบาทตามลำดับ โดยหุ้นที่โดนขายหนักคือ รับเหมา ชิ้นส่วน ธ.พ. และ ICT
หุ้นรับเหมานำโดยหุ้นขนาดใหญ่ ทั้ง STEC, UNIQ, ITD, และ CK ลดลง 3.74%, 3.23%, 1.99% และ 1.72% ตามลำดับ เชื่อว่าเป็นการขายหลังทราบผลการประมูลรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบฯ ด้วยวิธีการ e-Auction ปรากฏว่า ITD ชนะการประมูล แต่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ไม่ตอบรับด้านบวกมากนัก และนับจากปลายเดือน ก.ค. หุ้นกลุ่มรับเหมาลดลงราว 7%
ตามด้วยกลุ่มชิ้นส่วนฯ ยังคงปรับลงต่อเนื่องจากแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท โดย HANA ลดลง 5.29%, SVI ลดลง 4.31% และ KCE ลดลง 3.08% ตามลำดับ
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก็เป็นอีกกลุ่มที่กดดันตลาดเช่นกัน นำโดยหุ้น ธ.พ. ขนาดใหญ่ ได้แก่ KBANK ลดลง 2.53% ตามด้วย TMB ลดลง 2.48% ส่วน SCB ลดลงถึง 2.33% เนื่องจากหลุดแนวรับ 150 บาท ทำให้ภาพทางเทคนิคดูไม่ดีนัก และ BBL ลดลง 1.10%
และกลุ่ม ICT นำโดย ALT ลดลง 4.69% ตามด้วย JMART ลด 3.90% DTAC ลด 2.69% ILINK ลด 2.13% และ ADVANC ลด 1.33% ตอบรับงบ 2Q60 ที่รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตรงข้ามกับกลุ่มที่ปรับขึ้น ไม่มีกลุ่มใดโดดเด่นมากนัก มีเพียงกลุ่มอสังหาฯ เพิ่มขึ้นได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ นำโดย J เพิ่มขึ้นถึง 5.56% ตามด้วย ORI เพิ่มขึ้น 3.42% หลังประกาศเตรียมร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น ร่วมทุนในบริษัทย่อย ORI 4 แห่ง มูลค่ารวม 788 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการอาคารชุด ขณะที่ ANAN ราคาปรับเพิ่ม 2.05% แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มฯ นี้ยังกดดันจากประเด็นภาษีลาภลอย (ที่นำเสนอไปวานนี้) ซึ่งทั้ง ANAN และ ORI เน้นพัฒนาคอนโดมิเนียม และติดรถไฟฟ้าเกือบทั้งหมด
โดยภาพรวม การที่ SET Index วานนี้ปรับลงจากแรงขายที่หนักหน่วง ถือเป็นสัญญาณลบที่น่าจะมีน้ำหนักให้ดัชนีวันนี้ยังมีโอกาสปรับฐานลงต่อได้อีก โดยมีแนวรับวันนี้ที่ 1570/1564 จุด ส่วนภาพใหญ่ดัชนียังมีกรอบการเคลื่อนไหวหลักที่ 1560-1595 จุด หากไม่ได้แกว่งขึ้นลงเกินกรอบดังกล่าว SET Index จะเป็นภาพ Sideway ต่อไป
ดอลลาร์ยังอ่อนค่าสะท้อนโอกาสขึ้นดอกเบี้ยปีนี้น้อยลง ขณะที่ยุโรปมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
สัปดาห์นี้ให้น้ำหนักต่อการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเริ่มบ่งชี้ภาวะชะลอตัวคือ 4 ส.ค. รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร(Nonfarm payrolls) เดือน ก.ค. ซึ่งคาดไว้ 1.83 แสนราย (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั้งปี 1.9 แสนราย) หนุนให้อัตราการว่างงานในเดือนเดียวกัน คาดว่าจะลดลงที่ระดับ 4.3% (ระดับต่ำสุดตั้งแต่ มิ.ย. 2544) จาก 4.4% ในเดือน มิ.ย. นอกจากนี้ให้น้ำหนักวันที่ 11 ส.ค. รายงานอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ในเดือนเดียวกัน ตลาดคาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.7%yoy จาก 1.6%yoy (ตามราคาน้ำมันดิบในเดือน ก.ค. ที่ฟื้นตัวราว 3.5%mom หรือ 6.1%mtd) แต่ยังต่ำกว่าที่ Fed คาดเงินเฟ้อที่ 2% หลังจากช่วงก่อนหน้าเงินเฟ้อชะลอ 4 เดือนติด คือ มิ.ย.อยู่ที่ 1.6%yoy จาก 1.9% เดือน พ.ค. จาก 2.2% เม.ย. เทียบกับอัตราดอกเบี้ยฯ ที่ 1.25% ทำให้ช่องว่างดอกเบี้ยหักเงินเฟ้อแคบลง ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสที่ Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ สอดคล้องกับผลสำรวจโอกาสขึ้นดอกเบี้ยของ Bloomberg คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือมีโอกาสน้อยลงคือรอบ ก.ย และ พ.ย. มีโอกาสราว 5.6% และ 10.3% และรอบ ธ.ค. โอกาสขึ้นมากที่สุดเหลือเพียง 41.8%) กดดันให้เงินดอลลาร์ยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่าราว 9.1% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดอยู่ที่ 92.76 จุด (อ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 15 เดือน)
ตรงข้ามกับเงินยูโรเทียบดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อเนื่องราว 12.4% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นอีกประเทศที่จะกลับมาใช้นโยบายการเงินตึงตัวตามสหรัฐผ่านการขึ้นดอกเบี้ย หรือลด QE แต่คาดว่าค่อยเป็นค่อยไป หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยุโรปยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ล่าสุด รายงานอัตราการว่างงานเดือน ก.ค. ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.1% (ต่ำสุดในรอบ 9 ปี) ลดลงจาก 9.2% ในเดือน มิ.ย. หลักๆ ลดลงจากประเทศหัวเรือใหญ่ อาทิ เยอรมัน ฝรั่งเศส เป็นต้น และอัตราเงินเฟ้อในเดือนเดียวกัน ยังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.3%yoy VS. ดอกเบี้ยฯ 0% แต่คาดว่าจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป สถานการณ์เช่นนี้หนุนให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นยุโรปต่อเนื่อง
GLOW สวนตลาด คาดเงินปันผลสูง ตามกำไรงวด 2Q60 สูงสุดของปี
GLOW เป็นบริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่นำร่อง รายงานงบ 2Q60 ที่สดใส พร้อมด้วยความคาดหวังต่อการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ทำให้ราคาหุ้นตอบรับด้านบวก รายละเอียดคือ
GLOW (FV@B88) รายงานงบ 2Q60 กำไรสุทธิเติบโต 49.1%qoq จากการบันทึกกำไรพิเศษทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินเคลมประกันภัยของโรงไฟฟ้า Gheco-one แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติพบว่าเพิ่มขึ้นถึง 84.8%qoq จากรายได้ค่าขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงไฟฟ้า IPP Gheco-one และโรงไฟฟ้าโคเจน Glow Phase 5 กลับมาผลิตเชิงพาณิชย์ได้เต็มไตรมาส หลังจาก 1Q60 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้า นอกจากนี้โรงไฟฟ้าโคเจนได้รับแรงหนุนจาก spread ของต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ spread ต้นทุนถ่านหินลดลงเล็กน้อย
แต่คาดกำไรปกติงวด 3Q60 จะชะลอตัวจากงวด 2Q60 เนื่องจากผ่านพ้นช่วง high season ในงวด 2Q60 ไปแล้ว ส่วน 4Q60 ก็น่าจะยังทรงตัวจาก 3Q60 โดยรวมคาดผลประกอบการปี 2560 กำไรปกติลดลง 10.1% แม้ว่าผลประกอบการจะไม่โดดเด่นนัก แต่ก็ยังสามารถคาดหวังอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่โดดเด่นราว 6.0% ต่อปี สูงสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า ทั้งนี้คาดว่า GLOW ยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ในช่วงนี้ ที่ใช้เงินลงทุนมีนัยฯ ทำให้สามารถจ่ายปันผลพิเศษได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม GLOW ยังอยู่ระหว่างการศึกษาหาโครงการลงทุนใหม่ ซึ่งถือเป็น upside ในอนาคต โดย GLOW ให้น้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศสำหรับโรงไฟฟ้าทุกรูปแบบ ยกเว้น โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงถ่านหิน
ขณะที่ COM7 ([email protected]) จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวก จากการที่ COM7 ได้รวมธุรกิจ BKK ปีนี้เข้าไป และปีหน้ารวมธุริกจ online และ deal ของ tesco-lotus เข้ามา ทำให้ปรับประมาณการ ปีนี้ 5% ปีหน้า 14% และปรับ Fair value จาก 14 เป็น 15.5 และเลือกเป็น top pick คู่กับ BEAUTY (ติดตามอ่าน COM7 ใน Equity Talk เช้านี้)
ในเดือน ส.ค. คาดว่ากระแส Fund Flow ยังมีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
วานนี้ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ด้วยมูลค่าราว 462 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 25 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันนานกว่า 19 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่งต่างชาติยังขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 230 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 6) ตามมาด้วยไต้หวัน 41 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 2 ล้านเหรียญ และไทย แม้วานนี้ต่างชาติขายสุทธิสูงถึง 214 ล้านเหรียญ หรือ 7.15 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามวานนี้มีบิ๊กล็อตหุ้น BJC มูลค่าเกือบ 5.98 พันล้านบาท แล้วถ้าแรงซื้อดังกล่าวเกิดจากต่างชาติ ดังนั้นภาพรวมต่างชาติอาจขายสุทธิหุ้นไทยราว 1.1 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 3.5 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 4 วัน)
สรุป Fund Flow ในเดือน ก.ค. 60 พบว่า เป็นเดือนแรกของปี 60 ที่ต่างชาติขายสะสมสุทธิหุ้นในภูมิภาค ด้วยมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านเหรียญ โดยแรงขายหลักๆ เกิดขึ้นในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ซึ่งตลอดทั้งเดือนมีเพียง 2 วันเท่านั้นที่ถูกซื้อสุทธิ ส่งผลให้มีแรงขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคกว่า 798 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยเกาหลีใต้ และไทย ส่วนไต้หวันและฟิลิปปินส์ถูกซื้อสุทธิเล็กน้อย
ด้วยกระแส Fund Flow ไหลออกอย่างหนาแน่นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ค. จึงคาดว่ายังมี Momentum ที่กดดันตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในเดือน ส.ค. นี้ และยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 5 ปี นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยในเดือน ส.ค. กว่า 9.91 พันล้านบาท โดยขายสุทธิ 3 ใน 5 ปี และยังเป็นช่วงประกาศงบ 2Q60 อาจมีแรงขายทำกำไรหลังประกาศออกมา รวมถึงยังเป็นช่วงของการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (ปีที่แล้วในเดือน ส.ค. มีการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลถึง 148 บริษัท) ด้วยหลากหลายปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นล้วนกดดันเป็นแรงกดดันต่อ SET Index ให้มีโอกาสปรับตัวลดลง และยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 5 ปีในเดือนนี้ ซึ่ง SET Index ปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 1.03%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636