- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 July 2017 18:07
- Hits: 859
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET Index:
ทยอยขายทำกำไรที่แนวต้าน
กราฟแท่งเทียนรายชั่วโมงเปิดโดดผ่านแนวต้าน Ascending Triangle ได้ตามคาด โดยยังคงมีแรงซื้อต่อเนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แต่ขณะนี้ Modified Stochastic ยังคงติดแนวต้านเขต Overbought จึงทำให้คาดว่าดัชนีจะมีโอกาสอ่อนตัว มองแนวรับที่ 1580 1577 กลยุทธ์หลักตอนนี้ จึงยังคงเป็น ทยอยขายตามแนวต้าน และรอซื้อกลับที่แนวรับ อย่างไรก็ตามหากดัชนีผ่านแนวต้าน High ของวันที่ 1586 จะมีแนวต้านระยะสั้นถัดไปที่ 1590
กลยุทธ์การลงทุน
1) ขายทำกำไรตามโซนแนวต้าน1586 1590 และรอซื้อกลับที่แนวรับ
2) หากผ่าน 1586 จับตาแนวต้านถัดไปที่ 1590
แนวรับ : 1580 1577
แนวต้าน : 1586 1590
IVL: เด้งขึ้นจากแนวรับสำคัญ เพื่อทดสอบแนวต้าน High เดิม
Support: 36.50-37
Resistance: 39 // 40
Stop Loss: 36
DELTA: เด้งแรงที่เส้น EMA200วัน
S: 88-88.50
R: 93 // 96
SL: 87
PTT: ฟื้นตัวขึ้นในลักษณะ V-Shape
S: 385-386
R: 393 // 396
SL: 382
AOT: ดีดไม่ผ่าน High ยังคงเสี่ยงอ่อนตัว
S: 50-50.50
R: 52.25//54
SL: 50
SCC: ระยะยาวยืน 512 จะกลับมาดูดีขึ้น
S: 496
R: 89
SL: 496
Tiger Picks – UNIQ
Support 18.30
Resistance 19, 19.40
Cut loss 18.00
คำแนะนำระยะสั้น (BUY)
ราคาฟอร์มการพักฐานแบบชายธง (Flag) ประกอบกับ Slow Stochastic เพิ่งเริ่มตัดขึ้นจากเขต Oversold ระยะสั้นหากยืนเหนือ 19 จะมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากสามารถ Break กรอบ Flag
Tiger Picks – TU
Support 20.00
Resistance 20.70, 21
Cut loss 19.60
คำแนะนำระยะสั้น (BUY)
พยายามหยุดลงที่แนวรับบริเวณ 20 บาท มองว่าบริเวณนี้เป็นโอกาสสะสมเพื่อถือลงทุนในระยะกลาง เนื่องจากราคาเพิ่งเริ่ม Rebound จากแนว Low เดิมและ Slow Stochastic เพิ่งตัดขึ้นจากเขต Oversold
นักวิเคราะห์ กฤษณ์พงศ์ ปาทาน ext. 1310
ผู้ช่วยวิเคราะห์ จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ ext. 1404
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : At the Open
Market summary
เมื่อวาน SET ยืนในแดนบวกได้ตลอดวัน สนับสนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน/ปิโตรฯ PTT +0.8% BGRIM +3.3% IVL +2.8% แต่แรงขายช่วงบ่ายใน SCC -1.1% และ ADVANC -1.3% ทำให้ สิ้นวัน SET ถูกกดมาปิดที่ 1,583.17 (+1.75 จุด) มูลค่าการซื้อขายลดลงเล็กน้อย 4.2 หมื่น ลบ. โดย นลท.สถาบัน ยังคงมีบทบาทสูงสุด ซื้อสุทธิ 2,466 ลบ.
โดยนักลงทุนชาติ ขายหุ้นไทยต่อ 911 ลบ. แต่ยังเปิด Long สุทธิ SET50 Index Future ต่อเป็นวันที่ 6 ที่ 11,316 สัญญา
Investment theme
เลือกถือพลังงาน/ ปิโตรฯ และทำกำไรรับเหมา : เรามองว่า (1) การขับเคลื่อน ดัชนีใน 3 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากเหตุการณ์ (event) ประเด็นราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก ซึ่งเกิดจาก ผลลัพธ์ของประชุมกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน OPEC และ Non OPEC ที่ยังให้คำมั่นสัญญาจะคุมกำลังการผลิต-ส่งออก ซึ่งเรามองว่า ณ ราคาน้ำมัน 50-55 เหรียญ/ บาร์เรล จากระดับที่สะท้อนตามปัจจัยพื้นฐานแท้จริง (อุปสงค์-อุปทาน) ดังนั้น ยังพอเหลือมี gap ขึ้นต่อได้อีก แนะนำ ถือ กลุ่มพลังงาน-ปิโตร ข้ามไปสัปดาห์หน้า ขณะที่ (2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ยกตัวขึ้นมาจากประเด็นข่าว ครม.อนุมัติโครงการลงทุนหลายรายการ มองว่า ราคาหุ้นใกล้ซึมซับแล้ว แนะนำ เริ่มทยอยขายทำกำไรตามแนวต้านของหุ้นที่แนะนำ CK (30.00), UNIQ (19.40) และ STEC (29.00)
ส่วนประเด็น ธปท. บังคับใช้ควบคุมวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล ตั้งแต่ 1 ก.ย. คาดจะเป็นอีกประเด็นลบที่จะกดดันต่อ EPS ของ SET ส่วนประเด็นในต่างประเทศ ยังคงมีความไม่แน่นอนของนโยบาย Trump และ Yellen ต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ทำให้เรามองว่า นักลงทุนสามารถเก็งกำไรหุ้นรายตัวได้จนกว่าทั้ง 2 ประเด็นจะชัดเจนในราว ส.ค. เป็นต้นไป
Investment theme : คงคำแนะนำไม่เพิ่มพอร์ตการลงทุนเก็งกำไร ณ เวลานี้ จนกว่าจะเห็นปัจจัยบวก ทั้งจากใน และต่างประเทศ แนะนำ Let profit run กลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ เริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นรับเหมา และสะสมซื้อ "เมื่อราคาอ่อนตัว" หุ้นรับปันผลกลางปี เช่น BCP, BH, BAY, SPCG และ LH
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา FED คงอัตราดอกเบี้ย 1.00-1.25% ตามคาด แต่ยังคงมุมมอง ลดขนาดงบดุลในเดือน ก.ย. / สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐ ลดลงแรงกว่าคาดที่ 7.2 ล้านบาร์เรล น้ำมันดิบ WTI 1.8% สูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์ / ยอดขายบ้านใหม่สหรัฐ ต่ำคาด 5 พันหลัง / ธปท. ประกาศมาตรการคุมเข้ม บัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล เริ่มบังคับใช้ 1 ก.ย. 60 / TPIPP แจ้งรายงาน EIA รฟฟ.ขยะ 70MW ได้รับการเห็นชอบแล้ว คาดผลิต ต.ค. นี้
เรื่องเด่นวันนี้
- บทวิเคราะห์ SCC, LPN
Stock pick : CENTEL
CENTEL : ซื้อสะสม @ THB50.00
- การฟื้นตัวของรายได้ต่อห้องพักในประเทศ จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือน มิ.ย. ซึ่งจะทำให้อัตราการเข้าพักดีขึ้น
- แม้ sssg จะยังอ่อนตัวจากภาคการบริโภคภายในประเทศ แต่อัตราการทำกำไรในส่วนของมาร์จิ้นยังคงขยายตัวได้ดี
- แม้ว่ากำไร 2Q60 จะยังคงอ่อนตัว qoq และ flat yoy แต่จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เรามั่นใจว่า 2H60 จะดีต่อเนื่อง
- เป็น 1 ใน 3 ตัวเต็ง เสนอตัวซื้อ KCF อีก 42% (ราว 244 สาขา) ในไทย ซึ่ง โดยแบรนด์ KCF ให้ EBITDA margin ที่สูงแก่ CENTEL อยู่แล้ว (ผ่าน CRG) จะทราบผลอีก 2-3 เดือน
Trading idea - ถือกลุ่มน้ำมันต่อ PTT (ต้าน 388/ 397) / ถือ BCP รับปันผลกลางปี (ต้าน 37.50) / สะสมหุ้นงบ 2Q60 ชะลอตัว QoQ แต่มีปัจจัยบวกรอ SQ (+เตรียม upgrade) CKP (+laggard) และ PTTGC (+ประโยชน์ทางอ้อมน้ำมันพุ่ง) BKD (+ประมูลงานใหญ่ 2H60) / ทยอยขายทำกำไรหุ้นรับเหมาก่อสร้างที่แนวต้าน / เลี่ยงกลุ่ม TV digital
Technical View
ทยอยขายทำกำไรที่แนวต้าน กราฟแท่งเทียนรายชั่วโมงเปิดโดดผ่านแนวต้าน Ascending Triangle ได้ตามคาด โดยยังคงมีแรงซื้อต่อเนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แต่ขณะนี้ Modified Stochastic ยังคงติดแนวต้านเขต Overbought จึงทำให้คาดว่าดัชนีจะมีโอกาสอ่อนตัว มองแนวรับที่ 1580 1577 กลยุทธ์หลักตอนนี้ จึงยังคงเป็น ทยอยขายตามแนวต้าน และรอซื้อกลับที่แนวรับ อย่างไรก็ตามหากดัชนีผ่านแนวต้าน High ของวันที่ 1586 จะมีแนวต้านระยะสั้นถัดไปที่ 1590 กลยุทธ์การลงทุน (1) ขายทำกำไรตามโซนแนวต้าน1586 1590 และรอซื้อกลับที่แนวรับ (2) หากผ่าน 1586 จับตาแนวต้านถัดไปที่ 1590
แนวรับ : 1580 1577 แนวต้าน : 1586 1590
Eyes on
ปัจจัยต่างประเทศ : GDP สหรัฐ ไตรมาส 2 วันที่ 28 ก.ค. / ตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐ คืนนี้
ปัจจัยในประเทศ : จับตาปัญหาแรงงานต่างด้าว คาดกระทบเศรษฐกิจธุรกิจ ก่อสร้าง / จับตาการปรับตัวของธุรกิจบัตรเครดิต และ กำลังซื้อในประเทศ / PTTEP ประกาศงบวันนี้. / e-auction รถไฟทางคู่ หัวหิน-ประจวบฯ 7,305 ลบ. วันนี้ / ราคายางพาราฟื้น หลังฝนตกชุก ครม. อนุมัติ 1.6 หมื่น ลบ. ให้ กยท. รักษาราคา / ศาลฎีกาตัดสินคดีจำนำข้าว 25 ส.ค.
หุ้นเทคนิค:
IVL (B 36.50-37.00, Tp 39.00//40.00, Cut 36.00)
DELTA (B 88.00-88.50, Tp 93.00//96.00, Cut 87.00)
ข่าวเด่นเช้านี้
เอสซีจี หั่นเป้ายอดขายชี้ ซีเมนต์-ปิโตรเคมี ฉุด (กรุงเทพธุรกิจ)
"เอสซีจี" ลดเป้าเติบโตยอดขายรวมปีนี้ จาก 5-10% เหลือ 3-5% จากปีก่อนที่มียอดขายกว่า 4 แสนล้าน เหตุสถานการณ์ธุรกิจหลักชะลอตัว ทั้ง อุตฯก่อสร้างดีมานด์ -ปิโตรเคมีราคา ลดลงตามราคาน้ำมัน ขณะการแข่งขันรุนแรง ลุยลงทุนอาเซียนหลังทุ่ม 1.88 แสนล้าน ผุดปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนาม
ความเห็น : ผลประกอบการในครึ่งปีหลัง คาดจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสสอง หลังไตรมาสแรกกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่เนื่องจากมีรายการพิเศษ SCC ประกาศจ่ายปันผล 8.50 บาท และ คาดจะจ่ายปันผลปีนี้ 18.00-19.00 บาท ทำให้มีอัตราเงินปันผลที่น่าสนใจ 3.6% ลดงบลงทุนปีนี้ลงเหลือ 5-6 หมื่นล้านบาท เราคงคำแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุน เป้าหมาย 600.00 บาท
หุ้นโรงไฟฟ้าผลงานร้อนแรง 'RATCH-EGCO-BPP' เด่น (ทันหุ้น)
"RATCH-EGCO-BPP" นำทีมหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โชว์ผลงานไตรมาส 2/2560 โดดเด่น รับไฮซีซันของธุรกิจโรงไฟฟ้า ดันกำไรโตร้อนแรง แนวโน้มจ่ายปันผลงาม ด้าน CKP จับตาผลงานครึ่งปีหลังสุดพีค บุ๊กขายไฟโครงการ BIC2 กำลังผลิต 120 เมกะวัตต์ คาดไตรมาส 3/2560 ผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นรับฤดูฝน
ความเห็น : เราเห็นด้วยกับข่าวนี้ที่ระบุว่าผลประกอบการ 2Q จะปรับตัวขึ้น QoQ เนื่องจากเป็นช่วงใช้ไฟฟ้าสูงของปี โดยกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้แก่ EGCO RATCH จะได้ประโยชน์ดังกล่าว ขณะที่ BPP ที่การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าหงสาคาดทำได้ดีขึ้นใน 2Q60 ส่วน CKP คาดผลประกอบการ 2Q60 ยังไม่เด่น แต่จะฟื้นดีขึ้นใน 3Q60 ตามปริมาณน้ำ จาก Valuation ล่าสุด เราประเมิน EGCO ดูน่าสนใจด้วยการเติบโตผลประกอบการเฉลี่ย 3 ปีในระดับสูงกว่า 11% ด้วย PE ที่ 12 เท่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 232.00 บาท
อสังหาฯ'ซัพพลายล้นครึ่งปีเฉียดหมื่นหน่วย (กรุงเทพธุรกิจ)
ผ่านครึ่งแรกของปี 2560 สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ส่งสัญญาณน่ากังวล พบมียอดเหลือขายสะสมเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2559 เกือบ 1 หมื่นหน่วย ขณะที่ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า เผยราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดสายสีม่วงใต้ จ่อปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-9%
ความเห็น : การระบาย Inventory ของกลุ่มเห็นสัญญาณล่าช้ามาตั้งแต่กลางปี 2559 ที่ผ่านมา และเราคงน้ำหนักที่ Neutral และเชื่อว่ากลุ่มที่มี Stock รอการระบายและยังทำได้ไม่เร็วมากคือ Condominium กลาง-ล่าง ขณะที่การเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบที่ผ่านมาต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น เราคาดจะเห็นการเปิดตัวของโครงการใหม่ใน 3Q60 เป็นมูลค่าที่ใกล้เคียงกับ 2Q60 และจะอ่อนตัวลงใน 4Q60 หุ้นในกลุ่ม เรายังคงชอบ SPALI โดยมีราคาเป้าหมายก่อน XW ที่ 29.000 บาท/หุ้น
ดีเดย์ 1 ก.ย.คุมบัตรเครดิต หั่นเพดานดอกเบี้ยลง 2% (ผู้จัดการรายวัน 360 องศา)
แบงก์ชาติ คลอดเกณฑ์คุมบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลใหม่ เริ่มใช้ 1 ก.ย. 60 นี้ จำกัดบุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่น ได้วงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่ง พร้อมปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตเหลือ 18% จากเดิม 20% ให้สอดคล้องกับภาวะต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง คาดทำให้รายได้ดอกเบี้ยลดลง 750-900 ล้านบาท
ความเห็น : การปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลอาจส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งเป็นประเด็นลบต่อกลุ่มค้าปลีก อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นผู้มีรายได้ปานกลางขึ้นไป คาดจะได้รับผลกระทบจำกัด เรายังแนะนำ ซื้อ HMPRO ราคาเป้าหมาย 12.20 บาท
TVD ปั้นธุรกิจใหม่บริหารคลังสินค้า ตั้งเป้าติดท็อปเทน (ทันหุ้น)
TVD เปิดแผนปั้น "ลาสไมล์ ไดเร็ค" บริษัทในเครือ ขยายธุรกิจบริหารคลังสินค้าและการจัดการส่งแบบครบวงจร เจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไปทั้งกลุ่มผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อยตั้งเป้าปีแรกดันสัดส่วนรายได้จากลูกค้าภายนอก 30% ของรายได้รวมและติดอันดับท็อป 10
ความเห็น : ธุรกิจนี้ถือว่า มี Potential มาก เนื่องจาก TVD ทำอยู่แล้ว และมีจุดเด่นคือ การขนสินค้าขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้ skill ของผู้จัดส่งในการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อย่างไรก็ดีรายการนี้จะมาทำในช่วง 3Q60 ทำให้ผลกระทบต่อผลการดำเนินงานจะมีไม่มากนัก เราคงคำแนะนำ "ถือ" 2.00 บาท/ หุ้น
Go with the Flow : กระแสเงินทุนต่างชาติ / ธุรกรรม Short-Selling / NVDR
กระแสเงินทุนต่างชาติ - กระแสเงินทุนต่างชาติยังเป็นลักษณะรอดูท่าทีในฝั่งยุโรป โดยมีการไหลออกเล็กน้อย โดยในฝั่งไทย เป็นยอดขายสุทธิต่อเนื่องอีก 912 ล้านบาท เป็นวันที่ 2 แต่ทว่า แต่มีการ Long สุทธิใน SET50 Future เพิ่มขึ้นเป็น 11,316 สัญญา เป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน
ธุรกรรม Short Selling - ปริมาณ short sell ยังหนาแน่น 1.4 พันล้านบาท โดย 3 อันดับแรกยังเป็นตัวหลัก PTT ที่ 239 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 388.46 บาท/ หุ้น ที่เหลือล้วนหุ้นเป็นหุ้นหลักทั้งสิ้น AOT KBANK ADVANC SCC
การซื้อขาย NVDR - ปริมาณการซื้อขายกลับมาเบาบางอีกครั้ง เด่นสุดในตัว IVL และ BANPU โดยหุ้นที่พลิกมาขายครั้งแรกน่าสนใจคือ HMPRO หลังรายงานงบน่าพอใจ ในฝั่งขาย ยังเป็น BBL SCC ที่ขายหนักต่อเนื่อง และพบว่าหุ้นลักษณะโรงกลั่นเริ่มมีการพลิกเป็นขายครั้งแรก 2 ตัว คือ SPRC BCP
บทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานเผยแพร่วันนี้
SCC Company Visit BUY
ประเด็นการลงทุน : กำไร 2Q60 ชะลอตัวลงเหลือ 13,252 ล้านบาท (-24%QoQ, -17%YoY) ใกล้กับที่เราคาดหมายไว้ 1,350 ล้านบาท แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดกำไรจะทรงตัวจากไตรมาสสอง SCC ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลกำไรครึ่งปีแรก 8.5 บาท เราคาดจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้ 18-19 บาท ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันมีระดับอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจเท่ากับ 3.6% รวมถึงซื้อขาย P/E ปี 2560 ต่ำเพียง 10.9 เท่า เราคงคำแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุน และ ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 600.00 บาท
กำไร 2Q60 ชะลอตัวลงเหลือ 13,252 ล้านบาท (-24%QoQ, -17%YoY) : SCC ประกาศผลประกอบการ 2Q60 มีกำไรสุทธิที่ชะลอตัวลดลงเหลือเท่ากับ 13,252 ล้านบาท (-24%QoQ, -17%YoY) ใกล้กับที่เราคาดหมายไว้ 13,500 ล้านบาท จากสเปรด BD-Naphtha ที่ทรุดลงกลับสู่ระดับปกติ ไม่มีกำไรจากการขายเงินลงทุน 1.9 พันล้านบาท และ มีขาดทุนในสต็อก 1,860 ล้านบาท จากหลายผลิตภัณฑ์มีราคาทรุดลง ทำให้กำไรของธุรกิจปิโตรเคมีปรับลดลงเหลือ 9,258 ล้านบาท (-31%QoQ, -18%YoY) รวมถึงธุรกิจปูนซีเมนต์ความต้องการปูนซีเมนต์ติดลบ -7%YoY จากความต้องการที่อ่อนแอ โดยเฉพาะภาคพาณิชย์ และ อสังหาริมทรัพย์ติดลบหนัก 9%YoY ทำให้กำไรของธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ทรุดลงเหลือเพียง 1,768 ล้านบาท (-28%QoQ, -29%YoY) ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เข้าสู่ช่วงโลซีซั่น แต่กำไรก็สามารถทรงตัวจากปีก่อนที่ 1,019 ล้านบาท (-40%QoQ, 0%YoY) ในไตรมาสนี้มีรายได้ปันผลจากบริษัทลูกเข้ามาช่วย 1,331 ล้านบาท
คาดกำไรครึ่งปีหลังจะทรงตัวจากไตรมาสสอง : ผู้บริหาร SCC ประเมินแนวโน้มใน 3Q60 คือ 1.) ธุรกิจปิโตรเคมี ในไตรมาสสามความต้องการจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ในขณะที่ต้นทุน Naphtha จะอ่อนตัวตามราคาน้ำมันดิบ ทำให้สเปรดของ Polyolefin จะดีขึ้น เช่นเดียวกับ PVC 2.) ธุรกิจซิเมนต์-วัสดุก่อสร้าง ความต้องการในประเทศยังอ่อนแอ ทำให้แนวโน้มจะติดลบต่อเนื่อง แต่เราได้สำรวจตลาดพบว่า ราคาปูนซีเมนต์ของผู้ผลิต 3 รายหลัก คือ SCC, SCCC, TPIPL ได้มีการปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์จากเอเย่นต์ประมาณ 100 บาทต่อตัน 3.) ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ความต้องการในประเทศจะชะลอจากเข้าสู่ช่วงหน้าฝน รวมแล้วเบื้องต้นเราประเมินกำไร 3Q60 จะทรงตัวจากไตรมาสสอง คือ ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ตัวเลขกำไรครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วนถึง 56% ของประมาณการทั้งปี เรายังคงประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมประเมินกำไรเท่ากับ 54,916 ล้านบาท ติดลบเล็กน้อย 2%YoY
จ่ายปันผลครึ่งปีแรก 8.50 บาท ลดงบลงทุนลงเหลือ 5-6 หมื่นล้านบาท : SCC ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลกำไรครึ่งปีแรก 8.50 บาท คิดเป็น 33% ของกำไร และ ได้ลดเป้าหมายการลงทุนในปีนี้ลงเหลือ 5-6 หมื่นล้านบาท จากเดิม 6-7 หมื่นล้านบาท จากโครงการปิโตรเคมีในเวียดนามมีความล่าช้า
LPN Results Preview T-BUY
ประเด็นการลงทุน : เราคงคำแนะนำ Trading Buy LPN โดยให้ราคาปี 2561 ที่ 14.20 บาท/หุ้น มองว่า Downside ด้านราคาค่อนข้างจำกัดและได้สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการของ 2Q-3Q ที่คาดจะอ่อนตัวไปมากแล้ว และโอกาสกลับมาฟื้นใน 4Q เป็นจังหวะการเข้าสะสมแม้ทั้งปี 2560 ทิศทางกำไรสุทธิยังคงเติบโตลดลง แต่หากมองข้ามผลประกอบการที่อ่อนตัวของปีนี้ไป นักลงทุนระยะยาวสามารถเข้าสะสมลงทุนได้ เนื่องจากปี 2561 มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีจาก Backlog ที่รออยู่ซึ่งเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปีนี้ และ LPN เป็นหุ้นที่มีปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยเราคาดเงินปันผลรอบ 1H60 ที่ประมาณ +/- 0.20 บาท/หุ้น ผลตอบแทน 1.7%
คาด 2Q60 ผลประกอบการอ่อนตัว QoQ และ YoY : คาดรายได้ของ 2Q60 จะเท่ากับ 2,107 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสนี้โครงการที่ส่งมอบเป็นการส่งมอบต่อเนื่องมาจาก 1Q17 คือโครงการ Lumpini Ville ราชพฤกษ์-บางแวก รวมกับการขาย Inventory ขณะที่อัตราการทำกำไรขั้นต้นเท่ากับ 30.5% อ่อนตัวจาก 31.7% ใน 2Q59 และ 30.7% ใน 1Q60 ค่าใช้จ่ายอื่นๆ คาดว่าทรงตัว ดังนั้นเราคาดกำไรสุทธิที่ 272 ล้านบาท (-69% YoY และ -14% QoQ) โดยคาดว่าใน 1H60 รายได้จะเท่ากับ 4,580 ล้านบาท (-52% YoY) และกำไรสุทธิเท่ากับ 587 ล้านบาท (-63% YoY)
ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 10% จาก GP ที่คาดว่าจะไม่ได้ถึงเป้าเรา แต่ทิศทางผลประกอบการจะดีตั้งแต่ 4Q60 เป็นต้นไป : Backlog ณ สิ้น 2Q60 เท่ากับ 7,175 ล้านบาท โดย 35% จะบันทึกรายได้ในปีนี้และส่วนที่เหลือบันทึกในปี 2561 โดยเราคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการที่ดีสุดของปีคือ 4Q60 และเราคงประมาณการรายได้ปีนี้ที่ 12,418 ล้านบาท (-17.6% YoY) มี Secured Revenue 55% อย่างไรก็ตามเรามีการประมาณการอัตราการทำกำไรขั้นต้นปีนี้ลงจากเดิมที่ 31.3% เป็น 30.4% ส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้ลดลงจากเดิม 10% เท่ากับ 1,721 ล้านบาท (-21% YoY) และในปี 2561 เรามองว่าจะเป็นปีที่ LPN กลับมาฟื้นตัวจาก Backlog ในมือและมี Secured Revenue แล้วถึง 33% ของประมาณการรายได้ปีหน้าที่ 14,095 ล้านบาท (+13.5% YoY) และคาดกำไรสุทธิฟื้นตัว 2,183 ล้านบาท (+27% YoY)
คงคำแนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมายปี 2561 เท่ากับ 14.20 บาท/หุ้น : เราประเมินราคาเป้าหมายบน PER ที่ 9.7 เท่า (เท่ากับเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปี) และใช้ราคาของปี 2561 ได้ราคาเป้าหมายที่ 14.20 บาท/หุ้นและคงคำแนะนำที่ Trading Buy แม้มองว่ามีโอกาสที่ราคาหุ้นในช่วงประกาศงบของ 2Q60 จะอ่อนตัวจากกำไรสุทธิที่คาดลดลงทั้ง YoY และ QoQ เรามองว่าเป็นจังหวะของการเข้าสะสมและลงทุนยาวสำหรับการฟื้นตัวปี 2561 โดย LPN ยังมีการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้งผลตอบแทนประมาณ +/-6% ต่อปี
นักวิเคราะห์ : สุกิจ อุดมศิริกุล / สรพล วีระเมธีกุล / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-6300