WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“เลือกซื้อ/ถือต่อ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
       ภาพตลาดวันก่อน : อ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังไม่หลุดฟิวเตอร์ 1530 จุด เมื่อวานนี้การซื้อขายชะลอตัวลงจากช่วงก่อน ดัชนีแกว่งในกรอบแคบ โดยนักลงทุนรอดูปัจจัยใหม่หลังจบรายงานผลประกอบการ 2Q57 ของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/57 ที่เติบโต 0.4% และการอนุมัติร่างพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 58 เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ปิดตลาดดัชนี -4.26 จุด มายัง 1542.36 จุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 972 ล้านบาทส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือเป็นซื้อสุทธิ
      ปัจจัยและกลยุทธ์ : จับตาข่าวใหม่ ได้แก่ การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC รอบล่าสุดในวันพุธนี้, ถ้อยแถลงของประธานเฟดเกี่ยวกับภาคแรงงานในการประชุมเศรษฐกิจ "Re-Evaluating Labor Market Dynamics" , การเดินหน้าปฎิรูปโครงสร้างพลังงานของไทย ซึ่งอาจไม่ราบรื่นนัก เพราะกลุ่มที่ต่อต้านมองว่าการแยกธุรกิจท่อก๊าซออกไปจาก PTT แล้วตั้งเป็นบริษัทใหม่แล้วนำเข้าจดทะเบียนในตลาดนั้นอาจจะเป็นการผ่องถ่ายทรัพย์สินของแผ่นดินไปให้ประชาชนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น หุ้นในกลุ่มพลังงานอย่าง PTT, PTTGC และ PTTEP ยังอยู่ในข่ายที่ติด Overhang จากเรื่องการปรับโครงสร้างพลังงาน (ด้าน BCP ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มาก) สำหรับกลุ่มหุ้นที่เราชอบและให้เป็น Overweight ยังคงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับอุปโภคบริโภค,การลงทุนภายในประเทศ, การขนส่ง, การท่องเที่ยว & โรงแรม ซึ่งมีแนวโน้มว่าธุรกิจจะดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ 3Q57 เป็นต้นไป หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น SAMART

      กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1530 จุด ควรหยุดเก็งกำไร / ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมาก เหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1500 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้านระยะสั้น 1550, 1560 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ CCP, QH, KTB, BBL, BCP, TGCI, THCOM, PTL

Fundamental Pick
SAMART แนะนำซื้อราคาปิด 23.40 บาท เป้าหมาย 28.50 บาท
     * กำไรสุทธิ 1H57 เพิ่ม 14% y-o-y เป็น 815 ล้านบาท และคิดเป็นสัดส่วน 47% เทียบกับประมาณการปีนี้ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็น 0.42 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 19 ส.ค.57สำหรับแรงกระตุ้นราคาหุ้นปีนี้มาจาก แนวโน้มการเติบโตของการใช้ smart phone ที่เป็นไปอย่างแข็งแกร่ง และการจำหน่าย set top box สำหรับใช้ในการรับสัญญาณทีวีดิจิทอล เพื่อรับชม ทั้งนี้เราคาดว่าสัดส่วนการใช้ smart phone จะเพิ่มไปเป็น 65% ในปี 57 และ 75% เทียบกับทั้งหมด สำหรับปี 58 และคาดว่ายอดขายทั้งหมดจะไปถึง 4.1 ล้านหน่วย แม้ว่า 2Q57ยอดขายในตลาดรวมลดลง 7% y-o-y แต่ SIM กลับขายได้เพิ่ม 28% y-o-y สืบเนื่องจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างนั่นเอง ด้านมูลค่าตลาดกล่องทีวีดิจิตอลเป็น 13 พันล้านบาท หรือ 19 ล้านกล่อง ส่วน SAMART จะมีรายได้ในส่วนธุรกิจนี้ที่ 3-4 พันล้านบาท ระหว่างปี57-58 หรือ 25% ของตลาดรวม หรือประมาณ 5 ล้านกล่อง
      * แนะนำซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 28.50 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOTP (wacc 10.5%, terminalgrowth 1.5%) ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 23% เราคาดว่าอัตราการเติบโตกำไร CAGR 3 ปีระหว่างปี 56-59 เฉลี่ยเป็น 21% สะท้อนถึงยอดขายมือถือ และ set top box ที่ดี การได้งานบริการสำหรับโครงการสื่อสารใหม่ๆ รวมถึงโอกาสในการเข้าไปเจาะตลาดใหม่ๆ เช่นที่ประเทศพม่า

ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
• จีน : FDI ในช่วง 7M57 ลดลงเล็กน้อย0.35%YoY
* กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผยว่าตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนในเดือนก.ค.อยู่ที่ 7.81 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 16.95%YoY และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 1.442 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน FDI ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. ปรับตัวลง 0.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 7.114 หมื่นล้านดอลลาร์

+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด จับตารายงานประชุมFOMC ครั้งล่าสุดวันพุธนี้ & ความเห็นของประธานเฟดด้านตลาดแรงงาน
* ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 55 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7เดือน จาก 53 ในเดือนก.ค. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และแตะระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 53
* จับตาดูรายงานการประชุมนโยบายการเงินครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธที่ 20 ส.ค.นี้ และการประชุมเศรษฐกิจในหัวข้อ "Re-Evaluating Labor MarketDynamics" ที่เมืองแจ็คสัน โฮล มลรัฐไวโอมิง ในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่านักลงทุนจะให้ความสนใจต่อการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาดแรงงานของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด โดยนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารรกลางยุโรป (อีซีบี) ก็จะเข้าร่วมปาฐกถาในการประชุมครั้งนี้ด้วย

+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีพุ่งขึ้นแรง...คลายความวิตกเรื่องยูเครน
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,838.74 จุด พุ่งขึ้น 175.83 จุด หรือ +1.06% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,508.31 จุด เพิ่มขึ้น 43.38 จุด หรือ +0.97% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,971.74จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด หรือ +0.85% โดยการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ยูเครนเริ่มผ่อนคลายลง หลังจากมีรายงานว่านายรัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครนและรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมนานหลายชั่วโมงที่เยอรมนีเพื่อหาหนทางคลี่คลายวิกฤตในยูเครน ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง

- สัญญาน้ำมันดิบ : อ่อนลงทั้ง WTI และBRENT
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ปรับตัวลง 94 เซนต์ ปิดที่ 96.41 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.93 ดอลลาร์ปิดที่ 101.6 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ว่าจะมีการสู้รบในทางภาคเหนือของอิรัก แต่ก็ยังไม่ได้ลุกลามมายังกรุงแบกแดด ขณะเดียวกันสถานการณ์ในยูเครนเริ่มคลี่คลายลง

- สัญญาทองคำ COMEX : อ่อนลงและปิดต่ำกว่า 1,300 US$/ออนซ์
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 6.9ดอลลาร์ หรือ 0.53% ปิดที่ 1299.3 ดอลลาร์/ออนซ์

ปัจจัยในประเทศ
• ไทย : สภาพัฒน์ฯ รายงาน GDP 2Q57เติบโต 0.4% ทั้งปีนี้คาดขยายตัว 1.5-2.0%และเพิ่มเป็น 3.5-4.5% ในปี 58
* สภาพัฒน์ฯ ประกาศ GDP Growth ไตรมาส 2/57 เท่ากับ 0.4% แต่ปรับลดคาดการณ์ GDPGrowth ปี 57 ลงเป็น 1.5-2.0% จากเดิม 1.5-2.5% ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการลงทุนรวมปีนี้จะ -2.0% (เดิม -1.3%), การบริโภคภาคเอกชน +1.3% (เดิม +1.0%) การส่งออก +2.0% (เดิม+3.7%) การนำเข้า -4.9% (เดิม +0.5%) และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 9.9 พันล้านUS$
* คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 58 ขยายตัว 3.5-4.5% โดยมาจากสมมติฐานว่าการส่งออกในปีหน้าเติบโตได้ 5-7% ถือว่ายังต่ำกว่าศักยภาพการส่งออกของไทยที่น่าจะขยายได้ 10% หรือมากกว่า และหากมีการเพิ่มการลงทุนโดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานก็เชื่อว่า GDP มีโอกาสจะเติบโตได้ 4-5% หรืออาจขึ้นไปถึง 5-6% ก็เป็นไปได้

• กลุ่มพลังงาน : จับตาเรื่องการปฎิรูปโครงสร้างพลังงาน...ยังเป็น Overhang กับหุ้น PTT, PTTGC
* ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.เป็นประธานเมื่อวันที่ 15 ส.ค.57 ได้มีมติให้ PTT แยกธุรกิจท่อส่งก๊าซออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในมิ.ย.58
* อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่คัดค้านมองว่าท่อส่งก๊าซเป็นสาธาณสมบัติ การแยกออกมาเป็นบริษัทแล้วจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้สมบัติของประชาชนทั้งประเทศถูกผ่องถ่ายไปให้ประชาชนแค่เพียงบางกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรสูงสุด ซึ่งไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดี
* ความเห็น Retail Research : เรามองว่าการปฎิรูปโครงสร้างพลังงานที่กำลังเดินหน้าในขณะนี้ ยังเป็น Overhang กับกลุ่ม PTT โดยเฉพาะตัวแม่ คือ PTT และ PTTGC ซึ่งจะถูกกระทบโดยตรง ส่วนการขายหุ้น BCP คาดว่าจะยังไม่เร็วนัก ส่วน PTTEP ต้องดูว่าการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบเป็น Production Sharing หรือไม่ ส่วนสัมปทานเดิมคาดว่จะมีการต่ออายุออกไป

•/+ BCP : คาดการซื้อหุ้นนิโดฯ เสร็จสิ้นภายในก.ย.นี้ ส่วนการขายหุ้นของ PTT ไม่กระทบการดำเนินธุรกิจ...แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 37 บาท
* ผู้บริหาร BCP กล่าวว่าการซื้อหุ้นบริษัท นิโด ปิโตรเลียม ซึ่งทำธุรกิจขุดเจาะและสำรวจปิโตรเลียมจากประเทศออสเตรเลีย จะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.57 ขณะนี้กำลังทำ TenderOffer หลังซื้อล็อตแรกไปแล้ว 19.66% คาดใช้เงินลงทุน 120 ล้านเหรียญออสเตรเลียหรือประมาณ 3,600 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าถือหุ้นทั้งหมด 90% สำหรับเงินลงทุนจะมาจากการออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา
* บริษัทคงเป้าหมายค่าการกลั่น (GRM) ปีนี้ที่ 7 เหรียญ/บาร์เรล โดยประเมินว่ากำลังการกลั่นทั้งปีจะอยู่ที่เฉลี่ย 90,000-94,000 บาร์เรล/วัน ในส่วนของค่าการกลั่นรวม (GIM) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 11 เหรียญ/บาร์เรล โดยมีค่าการตลาดประมาณ 4 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากประสิทธิภาพของโรงกลั่นของบริษัทสามารถสร้างค่าการกลั่นได้สูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่น 1-2 เหรียญ/บาร์เรล
* แผนการขายหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ใน BCP จำนวน 27% จะไม่กระทบกับบริษัทฯ เนื่องจาก BCP มีสัญญา ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์กับ PTT ในสถานะธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับการเป็นผู้ถือหุ้น
* กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น แต่ต้องใช้เวลาอีกระยะ เพราะการลงทุนในญี่ปุ่นสูง ทั้งค่าก่อสร้างและที่ดิน ขณะเดียวกันอัตราความเข้มแสงน้อยกว่าไทย ดังนั้นแม้ว่าจะมี Feed in Tariff ที่สูงถึง 12-13 บาท/หน่วย (kWh) แต่ค่า IRR ก็ไม่สูงนัก
* แนวโน้ม Core Profit ใน 2H57 ดีกว่า 1H57 เพราะใน 2Q57 มีการปิดซ่อมบำรุง ทำให้ปริมาณการผลิตลดลง แต่ในครึ่งหลังจะเดินเครื่องได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายจะน้อยลง เพราะใน 2Q57 มีการรับรู้รายได้จากค่าเคลมประกันหอกลั่นไฟไหม้เข้ามา521 ล้านบาท
* แนะนำซื้อ โดยประเมินว่า BCP ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างพลังงานจำกัด กำไรสุทธิปี 57-58 เติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้าน PE ปี 57 ก็ต่ำเพียง 9.2เท่า และลดลงเป็น 8.2 เท่าในปีหน้า คาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้ 4.3% และปีหน้า 4.8%แนะนำซื้อให้ราคาพื้นฐาน 37 บาท

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!