- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 19 July 2017 16:09
- Hits: 13237
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
วิเคราะห์ตลาดและแนวโน้ม
Rotations
เมื่อวานดัชนี หมุนกลุ่มหุ้นสลับกันเล่น โดยขาย ธนาคาร อสังหาฯ สินค้าเกษตร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และหมุนเงินเข้าพักในกลุ่มโรงไฟฟ้า โรงกลั่น พลังงาน รถไฟฟ้า ฯลฯ ส่งผลให้ดัชนีฯ Sideways คาดเพราะไม่มีเม็ดเงินใหม่ เข้าตลาด เป็นเพียงการหมุนกลุ่มหุ้นไปมา และ ในภาวะแบบนี้ คาดว่า ดัชนีฯในสัปดาห์นี้จะไม่ขึ้นแรง แต่ Downside ขาลงก็จะจำกัดเช่นเดียวกัน
วันนี้คาด Consolidated แนวรับ 1,565 จุด ต้าน 1,577 จุด
สัปดาห์นี้ คาดดัชนีฯหุ้นไทยยัง Sideways up ต่อได้ (แนวรับ 1,570/1,565 จุด แนวต้าน 1,585/1,590 จุด)โดยคาด Downside ขาลงดัชนีฯจะจำกัด พิจารณาจาก งบ บจ.ขนาดใหญ่ ที่จะประกาศรอบนี้ เช่น PTTEP SCC SCB BBL เราคาดมีโอกาสน้อยที่ Consensus จะปรับกำไรลงหลังงบออก เช่น PTTEP ตลาดคาดกำไรทั้งปี ที่ 2.4-2.5 หมื่นลบ. แต่กำไรครึ่งปีแรก 1.78 หมื่นลบ. คิดเป็น 72% ของคาดการณ์ทั้งปี 2017 แล้วคิดว่ากำไรที่เหลือของปีไม่น่าจะพลาดไปจากนี้ ยกเว้นน้ำมันจะลงไป $30/บาร์เรล
ขณะที่แบงก์ใหญ่อย่าง BBL SCB จะมีสินเชื่อก่อสร้างโครงการ รถไฟฟ้าสายสีชมพู และเหลือง ของกลุ่ม BSR เพิ่มเข้ามา ทำให้เป้าหมายสินเชื่อไม่น่าจะพลาดเป้าทั้งปี เป็นต้น นอกจากนี้ยังจะมีการประกาศเงินปันผลระหว่างกาลช่วยหนุน เช่น SCC PTTEP ที่จะให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 2%
หุ้นแนะนำวันนี้
ASAP แนวรับ 9.15 บ. ต้าน 9.8 บ. Stop loss 9 บ. อิงรายได้ค่าเช่ารถแบบรายชั่วโมง จากธุรกิจใหม่ ASAP go ที่ประมาณ 2 หมื่นบาทต่อคันต่อเดือน จากจำนวนจุดให้บริการ 30 จุด จุดละ 2 คัน คาดหากรับรู้เต็มปีปีหน้า จะเพิ่ม Upside EPS ต่อหุ้นราว 0.11 บ. หากอิง PE 55 เท่า ที่ค่าเฉลี่ย PE forward กรอบบนของกลุ่มไฟแนนซ์และลิซซิ่ง คาดบวกเพิ่มราคาหุ้นราว 0.60 บ.
NWR แนวรับ 1.22 บ. ต้าน 1.27/1.30 บ. Stop loss 1.20 บ. เก็งกำไรทางเทคนิคบวกกับข่าวลุ้นประมูลงานท่อก๊าซ ปตท. เส้น 5 ส่วน 1 และ 2 บวกกับงาน LPG tanks (คาดประมูล ท่อก๊าซ 5 ส่วน 1 ช่วง ส.ค.และ LPN tanks เดือน ต.ค.)
รายงานวันนี้
TMB Good news has already priced in
บริษัทมีการปรับเป้าหมายรายได้ค่าธรรมเนียมขึ้นหลังจาก FWD มีการทำสัญญาในด้านของการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางสาขาของธนาคารเป็นระยะเวลา 15 ปี ซึ่งจะหนุนรายได้ราว 1.3 พันล้านบาทต่อปี เรามีการปรับประมาณการรายได้ค่าธรรมเนียมขึ้นจากเติบโต 11% เป็น 22% ในปี 2017 อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงเน้นไปที่การควบคุม NPLs เราจึงมีการปรับประมาณการ LLP ขึ้น 13% ในปี 2017 ซึ่งจะหักกลบกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่ปรับขึ้น เรามองว่ากำไรใน 2H17 จะทรงตัว YoY เรายังคงคำแนะนำ ขาย
TCAP 2Q17 result in line with estimate
รายงานกำไร 2Q17 ที่ 1.68 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY และ 5% QoQ กำไรที่ออกมาเป็นไปตามที่เราและตลาดคาด มุมมอง 3Q17 เราคาดการตั้งสำรองจะต่ำลง เนื่องจาก Loan loss coverage ratio ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 143% ใน 2Q17 ซึ่งใกล้กับที่บริษัทตั้งเป้าไว้แล้ว ที่ 140-145% ในขณะที่อัตราการเติบโตของสินเชื่อคาดเติบโตได้ QoQ หนุนโดยกลุ่ม Corporate และ SMEs เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 55 บาท
KTC 2Q17 earnings beat estimate
รายงานกำไร 2Q17 ที่ 787 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% YoY และ 7% QoQ กำไรที่ออกมาสูงกว่าที่เราคาด 12% และสูงกว่าตลาดคาด 20% เนื่องจากการตั้งสำรองต่ำกว่าที่คาด สำหรับมุมมองในอนาคตเรายังรอความชัดเจนมาตรการของ ธปท. ในการประกาศใช้กฏใหม่สำหรับบัตรเครดิตและ Personal loan ก่อนที่จะมีการปรับประมาณการ และยังคงคำแนะนำ ถือ
PTTEP Legal action doesn’t yet count
วานนี้บริษัทเปิดเผยว่าได้รับเอกสารทางคดีเดี่ยวกับการฟ้องร้องจากเหตุการณ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรั่วไหลจากแหล่งมอนทาราจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ของอินโดนีเซีย บริษัทเชื่อว่าคดีความไม่มีผลทางกฏหมายยกเว้น จะไปฟ้อง ที่ ออสเตรเลีย หรือ ไทย แทน เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาการยอมความระหว่างประเทศกับประเทศไทยหรือออสเตรเลีย อีกทั้งคดีความน่าจะมีระยะเวลาพอสมควรกว่าจะได้ข้อสรุปเนื่องจากระบบศาลของอินโดนีเซียคล้ายไทย (3 ศาล) จากปัญหาที่เกิดขึ้นบริษัทจะหยุดการลงทุนในอินโดนีเซียจนกว่าปัญหาด้านกฏหมายจะได้รับข้อสรุป อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่เพียงแค่แหล่งเดียว คือ Natuna A และถือสัดส่วนเพียงแค่ 11.5% และไม่ได้เป็นผู้ดำเนินงาน (British O&G และ Premier Petroleum) จากประเด็นที่เกิดขึ้นเรามองว่าไม่ได้มีนัยสำคัญต่อราคาหุ้น เนื่องจากเป็น
ข่าวเดิมที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ราคาหุ้นของ PTTEP น่าจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันมากกว่า ราคาหุ้นในตอนนี้เทรดอยู่ในระดับ PBV เพียง 0.8 เท่า ใกล้ที่จะแตะจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ที่ 0.7 เท่า ซึ่งราคาน้ำมันขณะนั้นอยู่ที่ US$30/bbl และ Unit cost อยู่ที่ IS$36-37/bbl (ตอนนี้ Unit cost อยู่ที่ $29-30/bbl) หมายความว่าบริษัทยังทำกำไรได้แม้ในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 118 บาท
ICT (Sector Update) The best-case 2.6GHz auction scenario—Dec 2017
การที่ กสทช. ให้ timeline ในการประมูลคลื่น 2,600 MHz ในช่วง ธค. 2017 นั้นสร้างความประหลาดใจเชิงบวก (เดิมเราคาดจะประมูล 2H18) ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มได้ และในปีหน้าคาดจะมีการประมูลคลื่นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 850 MHz ในช่วง เม.ย. 2018 เรายังคงเลือก DTAC เป็น top pick คาดมี upside มากที่สุดจากการได้คลื่นใหม่เข้ามาเพื่อสร้างฐานลูกค้า สำหรับตัวรองเราเลือก INTUCH
UTP (Company Update) ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
ความล่าช้าของการเดินเครื่อง 2 สาย การผลิต ส่งผลให้กำไรใน 2Q17 ยังคงทรงตัว กำไรหลักคาดที่ 60ล้านบาท (เติบโต 21%YoY แต่ลดลง 9%QoQ) อย่างไรก็ดีเรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาราว 1.20บาท ได้สะท้อนความกังวลออกมาแล้ว (อิงจากการปรับลด EPS ลง 0.08 บาท และ P/E ค่าเฉลี่ยที่ 16เท่า) ในขณะที่การเดินเครื่องจักรฯ คาดจะทำได้ใน 3Q17 นี้ เรามองว่า downside ของราคาหุ้นจะเริ่มจำกัดบริเวณ 6.80 เพราะราคาหุ้นสะท้อน P/E เพียง 19 เท่า ในปี 2017 และ 11 เท่า ในปี 2018 (ค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที 16 เท่า) เราคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับการลงทุนเพื่อรับกับการเติบโตในปีหน้า ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท
BPP Successfully secured PPAs for new 28MW of solar projects in Japan
BPP ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่จำนวน 28 เมกะวัตต์สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นสัญญาสำหรับ 2 โครงการ คือ โครงการในเมืองฮิโรชิมาจำนวน 8 เมกะวัตต์ (คาดจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/62) และโครงการในเมืองคาเซนนูมาจำนวน 20 เมกะวัตต์ (คาดจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/62) ทั้งสองโครงการ BPP ถือ 100% ส่งผลให้พอร์ตโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นของบริษัทเติบโต 21% เป็น 131.3 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 1% ของพอร์ตโรงไฟฟ้าทั้งหมดเราคาดมูลค่าโครงการอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท โดยเรามองว่าบริษัทมีศักยภาพด้านการเงินแข็งแกร่งพอในการลงทุนครั้งนี้ การทำสัญญาครั้งถือเป็นข่าวดีที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้น BPP ในระยะสั้น อีกทั้งจะหนุนกำไรระยะยาวและราคาเป้าหมายซึ่งประเมินด้วยวิธี NAV ของกับบริษัท เบื้องต้นเราประเมินกำไรเพิ่มขึ้น 2% ต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่ม 0.3 บาท/หุ้น BPP ยังคงเป็นหุ้นที่เราชอบที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า ดังนั้นเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 28 บาท
SPALI: Key takeaways from analyst meeting
เราได้เข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์เช้าวานนี้ เราได้รับข่าวดีจากผู้บริหารเกี่ยวกับสัญญานผลประกอบการไตรมาส 2/60 ที่น่าจะฟื้นตัวแข็งแกร่ง อีกทั้งแนวโน้มจะดีต่อเนื่องไปถึงครึ่งหลังปี 2560 ผู้บริหารมีความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายแผนงานปี 2560 ที่ตั้งไว้ (ด้านยอดจองซื้อและรายได้) สำหรับสาเหตุหลักในการออก SPALI-W4 นั้นสืบเนื่องมาจากนโยบายบริษัทแบบอนุรักษ์นิยมที่ต้องการลดอัตราส่วนสัดส่วนหนี้สินต่อทุนและเพื่อควบคุมความเสี่ยงแต่ยังเน้นการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้บริษัทมองถึงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิจะสามารถลดลงจาก 0.9 เท่า ณ สิ้นเดือน มิ.ย ได้เล็กน้อยเป็น 0.8 เท่า ณ สิ้น ปี 2560 และจะสามารถลดลงมาอยู่ที่ 0.7 เท่าในปี 2561 หลังจากการวอร์แรนต์ใช้สิทธิแปลงสภาพได้ ด้วยการโอนไตรมาส 2/60 ที่น่าจะดีกว่าที่คาดไว้เดิมทำให้เราปรับประมาณการกำไรหลักไตรมาส 2/60 ขึ้น 8% มาอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ทั้งนี้จากสมมติฐานจากกรณีอนุรักษ์นิยมว่ามูลค่าวอร์แรนต์อยู่ที่ 18 บาท(บ่งชี้ถึงผู้ถือหุ้นเดิมจะได้มูลค่า 4.5 บาท/หุ้น จากอัตราสิทธิในการได้รับวอร์แรนต์ 4 ผู้ถือหุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์) เราเชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบเรื่องการออกวอร์แรนต์ไปมากแล้ว เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” SPALI
หุ้นมีข่าว/ประเด็น
(0) PTT PTTEP ได้รับคำฟ้องเหตุน้ำมันรั่วจากรัฐบาลอินโดฯเรียกค่าเสียหาย $2.1 พันล้าน จากทางการอินโดนีเซียแล้ว / เราคาดไม่มีผลกระทบต่อ PTT PTTEP เพราะ มองว่าไทยไม่ได้มีสนธิสัญญาร่วมกันทาง กม.กับ รัฐบาลอิโดนีเซีย เพราะฉะนั้นการฟ้องศาล อินโดนีเซีย คาดไม่สามารถบังคับคดีมายัง PTTEP ได้ อย่างไรก็ตาม อาจกระทบต่อการทบทวนไม่ลงทุนในแหล่งพลังงาน อินโดนเซียเพิ่ม ซึ่ง PTTEPยังมีการลงทุนเล็กน้อยบางส่วนอยู่ เช่นถือหุ้นใน Natuna A ราว 11%
1. ไม่มีสนธิสัญญาการยอมความระหว่างประเทศ ระหว่าง ไทย-อินโด และ ออส-อินโด ... ดังนั้น การฟ้องร้องของกระทรวงฯ ไม่มีผลทาง กม ยกเว้น จะไปฟ้อง ที่ ออส หรือ ไทย แทน 2. กม ในอินโด เป็นระบบ 3ศาล เหมือนไทย (ศาลขั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา) ดังนั้น น่าจะใช้เวลานาน กว่าคดีจะเสร็จไม่ตำ กว่า 4-5ปี 3. Worst case คือ บริษัทฯ freeze การลงทุนเพิ่มใน อินโด แต่ในส่วนของ โครงการ natuna a อาจจะไม่ suspend การดำเนินงาน (1% of pttep vol) เพราะถือแค่ 11.5% และ ที่เหลือมีอีก 3 partners ที่ซึ่ง premier oil เป็น operator ของโครงการ เราเชื่อว่า การฟ้องร้องของกระทรวงฯ ของอินโดน่าจะ price in ในราคาไปแล้ว เพราะมีข่าวตั้งแต่เดือน พค ทึ่ผ่านมา ... catalyst ของราคา น่าจะมาจากราคานำ มันมากกว่า ซึ่งเรามอง level ที่ 0.8 PBV อยู่ระดับตำ ตอนที่ราคานำมัน ตำ กว่า $30 ยังเทรด 0.7 เท่า ซึ่งตอนนั้น unit cost ตั้อง $36-37 แต่ตอนนี้เหลือแค่ $29-30 ซึ่งยังงัย บริษัท ก้อยัง profitable ณราคานำ มันอยู่ในะดับนี่
(+) กลุ่มรับเหมางานท่อส่งก๊าซ PTT คาดว่าบริษัทจะเปิดขายซองประมูลงานโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก เส้นที่ 5 ส่วนที่ 2 มูลค่างานราว 1 หมื่นลบ.ในช่วงเดือน ส.ค.นี้ และคาดว่าจะสรุปผลการประมูลได้ภายในปี 61 สำหรับเอกชนที่แสดงความประสงค์จะซื้อเอกสารการประมูลราคาในครั้งนี้มาแล้ว ได้แก่ ITD NWR TRC
1.China Petroleum Pipeline Bureau 2.Italian-Thai Development Plc. 3.Langfang Huayuan Mechanical& Engineering Co.,Ltd 4.McConnell Dowell Constructors Thai Ltd. 5.Nawarat Patanakarn Plc. 6.Quanta Services Australia 7.Sinopec International Petroleum Service Corporation 8.TRC Construction Plc.
สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 ส่วนที่ 1 ซึ่งมีมูลค่างานประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเช่นกันและได้เปิดประมูลไปแล้วนั้น คาดว่าจะสามารถสรุปผลการประมูลได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยโครงการฯ มีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 64 ในงบประมาณการลงทุนทั้งโครงการราว 96,500 ล้านบาท (ที่มา อินโฟเควสASPEN)
(+) ASAP ASAP ได้ร่วมมือกับ ฮ้อปคาร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อใช้บริการ asapGO Powered by haup เปิดตัวแอพพลิเคชั่น asap GO รุกขยายฐานลูกค้าใหม่ เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นพนักงานออฟฟิศต่างๆ
ทั้งนี้การใช้งาน asap GO จะคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง (Play per use) โดยพนักงานขององค์กรที่ต้องการใช้บริการ จะต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นและลงทะเบียนเพื่อใช้บริการ ซึ่งสามารถกำหนดช่วงเวลาการใช้รถยนต์ และสามารถเปิดรถผ่านแอพพลิเคชั่นได้ โดยจะเริ่มให้บริการในวันนี้เป็นวันแรกประมาณ 6 แห่ง ได้แก่ อาคารคอลัมน์ทาวเวอร์ ,อาคารอินเตอร์เชนจ์ ,อาคารศุภลัยแกรนด์ ทาวเวอร์ ,อาคารจัสมินอโศก ,อาคารเมโทรโพรลิส สุขุมวิท 39 และ 42 ทาวเวอร์ และตั้งเป้าหมายจะขยายการให้บริการครบ 30 อาคารภายในสิ้นปีนี้ และมีรถให้บริการขั้นต่ำ 2 คันต่อ 1 จุดบริการ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ 20,000 บาทต่อคันต่อเดือน (ที่มา อินโฟเควส)
(+) ครม.เห็นชอบ 6 ยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคน สนับสนุนโครงการ EEC ในวงเงินงบประมาณ 619.4ลบ. เพื่อสร้างบุคลากรในทุกด้านให้ทันตอบรับ กับการลงทุน EEC ตามแผนทั้งหมด 5 ปี (ที่มา ครม.)
(+) กลุ่มรับเหมางาน EPC (คาดมีโอกาสได้งาน Sub-contractor) PTT เปิดเผยว่า โครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ จ.ระยอง มีเอกชนที่ร่วมเสนอราคา 6 ราย ซึ่งเป็นการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว เพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในปริมาณ 7.5 ล้านตันต่อปี มีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 65 ในวงเงินงบประมาณการลงทุน 38,500 ล้านบาท
สำหรับเอกชนทั้ง 6 ราย ได้แก่ 1. The Consortium of Hyundai Engineering Co., Ltd. (HEC), Hyundai Engineering & Construction Co., Ltd. (HDEC) and Korea Gas Corporation (KOGAS) 2. The Consortium of IHI Corporation (IHI), POSCO Engineering Co., Ltd (PEN) and Nawarat Patanakarn Public Company Limited (NAWARAT) 3. The Consortium of SK Engineering & Construction Co., Ltd., (SKEC) and CBI (Thailand) Limited (CB&I) 4. The Joint Venture of GS Engineering & Construction Corporation(GS E&C) and Tecnicas Reunidas, S.A. (TR) 5. The Joint Venture of SAIPEM s.a (Saipem) and CTCI Corporation (CTCI) และ 6. The Joint Venture of Samsung Engineering Co., Ltd.(SECL) and Daewoo Engineering & Construction Co., Ltd. (DAEWOO)
แหล่งข่าวจาก PTT คาดว่า จะสามารถสรุปผลประมูลงานสร้างคลัง LNG แห่งใหม่ดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่างานราว 3 หมื่นล้านบาท ภายในเดือน ต.ค.นี้ (ที่มา อินโฟเควส ASPEN)
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
(-) ความวิตกกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายประกันสุขภาพมีขึ้นหลังจากนายเจอร์รี มอร์แรน และนายไมค์ ลีสองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ประกาศว่า พวกเขาจะโหวตคัดค้านร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับปรับปรุงใหม่ของวุฒิสภาซึ่งผลักดันโดยพรรครีพับลิกัน ซึ่งจะส่งผลให้ทางพรรคอาจไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันให้เพียงพอต่อการผลักดันร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวให้ผ่านวุฒิสภาเพื่อนำไปบังคับใช้แทนกฎหมายโอบามาแคร์ของรัฐบาลชุดก่อน (ที่มา ASPEN)
(+) นักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังไม่มีมติปรับลดวงเงินตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ โดยคาดว่าทางธนาคารกลางจะเริ่มปรับลดวงเงินดังกล่าวในการประชุมเดือน ม.ค.ปีหน้า และมีแนวโน้มว่า จะทยอยปรับลดในช่วงระยะเวลา 9 เดือนขณะที่เจ้าหน้าที่ ECB หลายรายส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า เดือนก.ย. หรืออาจเป็นเดือนต.ค. ถือเป็นเวลาเหมาะสมที่ ECB จะทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับลดวงเงิน QE แต่ก็ย้ำว่าสิ่งนี้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ และภาวะตลาดในขณะนั้น (ที่มา ASPEN)
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค