- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 19 July 2017 15:55
- Hits: 8834
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
Sideway? คาดการเคลื่อนไหวยังอยู่ในทิศทางเดียวกับวานนี้ ที่อยู่ในกรอบแคบ แต่ยังมีความผันผวน แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ และคาดหลักๆ อยู่ระหว่างรอการประกาศผลการดำเนินงานของ บจ. อย่างไรก็ตามคาดยังได้รับ Sentiement ที่เป็นบวก โดยเฉพาะประเด็นที่เฟดอาจพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ล่าสุดคาดมีโอกาส 50 : 50 ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. และคาดไม่ถึง 2 ครั้งในปี’61 จากก่อนหน้าคาดเฟดจะพิจารณาขึ้น 4 ครั้งในปี’61 ขณะที่ (-) จากความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายของ ปธน.ทรัมป์ ตามที่เคยหาเสียงไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการปฏิรูปภาษี
ทางด้านราคาน้ำมัน ยังคงมีความผันผวน ภายใต้ความพยายามของกลุ่มประเทศโอเปกที่จะลดปริมาณผลิตน้ำมันลง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน แต่สวนทางกับตัวเลขการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งภาพรวมยังส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน + /- ตามราคาน้ำมัน ขณะที่แนะติดตามการประชุมของ รมต.กระทรวงน้ำมัน ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งโอเปกและนอกโอเปก ในวันที่ 24/7/60 ซึ่งคาดมีการหารือการปรับลดการผลิตของลิเบียและไนจีเรีย ที่ก่อนหน้าได้รับการยกเว้น
แนะติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป – ECB ในวันพรุ่งนี้ (20/7/60) โดยเฉพาะการส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE? เช่นเดียวกับเฟดที่คาดจะประกาศลดงบดุล (ปัจจุบันอยู่ที่ 4.5 ล้านล้านUSD) ในเดือนก.ย. นี้
ทางด้านประเด็นในประเทศ (+) แรงเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q60 / เงินปันผล เริ่มจากกลุ่มธนาคาร ในสัปดาห์นี้ หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนส.ค. ขณะที่คาดกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการ 2Q/60 ดีต่อเนื่อง เช่น TOP, MTLS และ WORK เป็นต้น
รวมถึงหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น ITD, CK, STEC และ UNIQ
เป็นต้น ที่คาดได้รับปัจจัยหนุนระยะกลาง – ยาว จากความคืบหน้าที่มีตามลำดับในการทยอยเปิดประมูลโครงการต่างๆ โดยเฉพาะรถไฟทางคู่ เส้นทางหัวหิน – ประจวบฯ ที่จะมีการเปิดซองราคาในวันที่ 27/7/60 นี้
ขณะที่ (+/-) Fund Flow ยังมีความผันผวนจากแรงซื้อ/ขายสุทธิ สลับกัน แนะติดตามค่าเงินบาท ซึ่งยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าในรอบกว่า 2 ปี โดยเคลื่อนไหวบริเวณ 33.62 - 33.65 บาท หลังคาดการณ์เฟดอาจชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากก่อนหน้าคาดเฟดจะพิจารณาขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ และภายใต้เงินบาทที่แข็งค่า คาดส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก
SET SET50 SET100
1,571.52 -2.57 996.25 -0.51 2,238.60 -2.20
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-/+) ตลาดต่างประเทศ DJIA -54.99, NASDAQ +29.87, S&P +1.47, FTSE -13.91, CAC -56.90 และ DAX -156.77
ภายใต้ปัจจัยกดดัน (1) หุ้นโกลด์แมน แซคส์ หลังธนาคารเปิดเผยรายได้จากการซื้อขายตราสารหนี้และรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก และ (2) หุ้นกลุ่มประกันสุขภาพ ภายใต้ความล่าช้าของการออกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ รวมถึงความไม่แน่นอนหลังพรรครีพับลิกัน อาจไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงจากวุฒิสมาชิกภายในพรรคฯ ให้เพียงพอต่อการผลักดันร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวให้ผ่านวุฒิสภาเพื่อนำไปบังคับใช้แทนกฎหมายโอบามาแคร์ของรัฐบาลชุดก่อน พร้อมคาดอาจส่งผลกระทบต่อการออกกฎหมายปฏิรูปภาษี และการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน.ทรัมป์
ขณะเดียวกันสหรัฐฯ เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน – ก.ค. อยู่ที่ 64 ลดลง 2 จุด จากมิ.ย. และเป็นระดับต่ำสุดนับแต่พ.ย.’59 ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยกดดันจากเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทส่งออก และผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น อิริคสัน เปิดเผยตัวเลขขาดทุน 122.3 ล้านUSD ใน 2Q/60 มากกว่าคาด
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$0.38 อยู่ที่US$46.40 ต่อบาร์เรล หลังมีรายงานข่าวว่า ซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาปรับลดการส่งออกน้ำมันลงอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน และยังได้รับปัจจัยหนุนจากเงินสหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ
ขณะที่อยู่จับตาการประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันจาก 5 ชาติของโอเปก ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย ในวันที่ 24/7/60 ที่รัสเซีย 24 ก.ค. ซึ่งอาจมีการเสนอมาตรการกระตุ้นราคา เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมโอเปกเต็มคณะในเดือนพ.ย.
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.29 1.89 3.09
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 38,185.56
สถาบัน -5,344.37
บัญชีหลักทรัพย์ +651.11
ต่างประเทศ +2,335.16
ในประเทศ +2,358.10
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK เป็นต้น ขณะที่แนะจับตา NPL ผ่านจุดสูงสุด?
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น MONO, WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.05 อยู่ที่ 2.26%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.13 อยู่ที่ 9.95
หุ้นแนะนำ : PSL
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร. 02-684-8788