- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 13 July 2017 17:05
- Hits: 1168
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ
ส่วนใหญ่ ที่ตอบรับในเชิงบวกจากถ้อยแถลง (วันแรก) ของประธานเฟดที่มีต่อสภาผู้แทนฯ โดยเฉพาะประเด็นที่เฟดพร้อมชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามภายใต้ตัวเลขเศรษฐกิจที่อยู่ความคาดหมาย เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดจะมีการพิจารณาขึ้นอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง ในช่วงเวลาที่เหลือของปี หลังปรับขึ้นเมื่อมีค. และ มิ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมปรับลดงบดุลซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.5 ล้านล้านUSD ซึ่งเป็นประเด็นที่ตลาดส่วนใหญ่รับรู้ไปบ้างแล้ว
ขณะที่ยังแนะติดตามการประชุมของ รมต.กระทรวงน้ำมัน ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งโอเปกและนอกโอเปก ในวันที่ 24/7/60 ซึ่งคาดมีการหารือการปรับลดการผลิตของลิเบียและไนจีเรีย ที่ก่อนหน้าได้รับการยกเว้น คาดเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันในระยะสั้น อย่างไรก็ตามระดับราคาน้ำมันล่าสุด ยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้ง WTI, Brent และ Dubai เฉลี่ย 45 – 47USD รวมทั้งการผลิตน้ำมันล่าสุดที่ยังเพิ่มขึ้นทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มโอเปก ทำให้คาดยังกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น PTT และ PTTEP เป็นต้น
ทางด้านประเด็นในประเทศ ยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ คาด Sentiment ยังเป็นบวก แม้ Fund Flow ยังมีความผันผวนจากแรงซื้อ/ขายสุทธิ สลับกัน โดยค่าเงินสหรัฐฯ ล่าสุด USD index อยู่ที่ 95.71 ใกล้กับระดับ 95.5 จุดในช่วงสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 9 เดือน
แต่คาดได้รับการชดเชยเข้ามาบ้างจากเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q60 / เงินปันผล เริ่มจากกลุ่มธนาคาร ประมาณกลางเดือนก.ค. หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนส.ค. ขณะที่คาดกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการ 2Q/60 ดีต่อเนื่อง เช่น TOP, MTLS และ WORK เป็นต้น รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น ITD, CK, STEC และ UNIQ ภายใต้ประเด็นความชัดเจนการทยอยเปิดประมูลโครงการต่อเนื่อง เช่น รถไฟทางคู่ เส้นทางหัวหิน – ประจวบฯ ที่จะมีการเปิดซองราคาในวันที่ 27/7/60 นี้
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK เป็นต้น
SET SET50 SET100
1,574.93 +5.69 996.09 +4.14 2,241.19 +8.44
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +123.07, NASDAQ +67.87, S&P +17.72, FTSE +87.17, CAC +81.53 และ DAX +189.56
หลังประธานเฟดแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ วานนี้ โดยกล่าวว่าเฟดพร้อมที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดงบดุลอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ แม้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ภายใต้เศรษฐกิจเป็นไปตามที่เฟดคาดการณ์ โดยไม่ได้ระบุแน่ชัดระยะเวลาที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังปรับขึ้นเมื่อมี.ค. และมิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มสาธารณูปโภค และหุ้นของบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูง นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน
ขณะที่อยู่ในช่วงประกาศผลการดำเนินงาน โดยสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ส จะเปิดเผยในวันนี้ และธนาคาร 3 แห่งของสหรัฐฯ ได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป จะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$0.45 อยู่ที่US$45.49 ต่อบาร์เรล หลัง EIA เปิดเผย สต็อกน้ำมันดิบล่าสุด ลดลง 7.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด หลังการผลิตน้ำมันล่าสุดของประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังเพิ่มขึ้น โดย (1) สหรัฐ เพิ่มขึ้น 59,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 9.4 ล้านบาร์เรล/วัน และ (2) กลุ่มโอเปก – มิ.ย. เพิ่มขึ้น 393,500 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเพิ่มการผลิตน้ำมันของโอเปกเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน จากลิเบีย ไนจีเรีย รวมถึงซาอุดิอาระเบีย อิรัก และแองโกลา แม้โอเปกทำข้อตกลงขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตเมื่อพ.ค.
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.31 1.89 3.09
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 50,069.31
สถาบัน +1,718.94
บัญชีหลักทรัพย์ +36.51
ต่างประเทศ -465.79
ในประเทศ -1,289.66
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น MONO, WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.03 อยู่ที่ 2.33%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.59 อยู่ที่ 10.30
หุ้นแนะนำ : MTLS
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร. 02-684-8788