- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 13 July 2017 16:54
- Hits: 836
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ดัชนี หุ้นไทยยังแกว่งตัวในเชิงบวก จากแรงหนุนของหุ้นใหญ่ AOT สื่อสาร และธนาคารพาณิชย์ แม้เข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบงวด 2Q60 มีโอกาส Sell on Fact ก็ตาม และการที่ KTB และ KBANK ตั้งสำรอง EARTH น่าจะเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น กลยุทธ์ให้เริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแรง และเกิน fair value DTAC, KTB, TMB, EA, RS, SEAFCO, GPSC วันนี้ Top pick เลือก JWD(FV@B11) แนวโน้มธุรกิจฟื้นตัวชัดเจนใน 2H60 และมีโอกาสขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มีเงินมาลงทุนเพิ่ม
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย...กระเตื้องขึ้น หนุนด้วยหุ้นขนาดใหญ่
วานนี้ SET Index ฟื้นตัว และปิดตลาดบวกได้ 5.69 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่มีนัยสำคัญที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยมี Big Lot ในหุ้นที่ซื้อขายกันบนกระดานต่างประเทศหลายหุ้น เช่น CPALL-F, PTTGC-F และ TISCO-F ทั้งนี้หุ้นนำตลาดกระจุกตัวในหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ คือ KBANK, SCB ปรับขึ้น 2.01% และ 0.96% ตามลำดับ เช่นเดียวกับ ธ.พ. ขนาดกลาง TISCO, TCAP และ KKP ปรับขึ้น 2.40%, 2.17% และ 2.09% เนื่องจากคาดการณ์ผลกำไรงบฯ 2Q60 แม้จะอ่อนตัวจาก 1Q60 (TISCO และ LHBANK ประกาศแล้ว เป็นไปตามที่ ASPS คาด ตามลำดับ) เช่นเดียวกับกลุ่ม ICT ยังคงปรับขึ้นโดดเด่นต่อเนื่องเช่นกัน นำโดย DTAC โดยขึ้นแรงกว่า 6.83% ตามด้วย THCOM เพิ่มขึ้น 2.60%, INTUCH 2.59% และ ADVANC 2.18% เช่นเดียวกับ AOT วานนี้ราคาปรับขึ้นอีก 1.02% โดยระหว่างวันขึ้นไปทำ High ที่ 50.25 บาท ซึ่งเป็น New High ใหม่
ตรงข้าม กลุ่มค้าปลีกกลับลงหนัก นำโดย BIG -4.98% ตามด้วย ROBINS, MC, HMPRO, GLOBAL และ CPALL -1.79%, -1.71%, -1.57%, -1.43% และ -1.24% ตามลำดับ ตามด้วยกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม นำโดย ICHI -2.47% (ลดลงหนักถึง 9.71% ตลอดเดือนนี้) ตามด้วย TU ลดลง -2.43% และ CPF ลดลง -1.26% โดย TU คาดกำไรสุทธิงวด 2Q60 ลดลงถึง 29.6% qoq และ 32.2% yoy เพราะ กดดันจากราคาวัตถุดิบทูน่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ฉุดกำไรจากการดำเนินงานปี 2560 ให้ค่อนข้างทรงตัวจากปี 2559 ขณะที่ CPF แม้คาดกำไรสุทธิ 2Q60 เพิ่มขึ้น 11.3% qoq และ 9.6% yoy แต่น่าจะถูกกดดันจากบริษัทย่อย คือ CPP (CPF ถือหุ้น 50.43%) เผชิญผลขาดทุนราว 400-600 ล้านบาท (12-17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในงวด 2Q60 เทียบกับที่กำไรราว 240 ล้านบาทในงวด 1Q60 จากปัญหาสุกรล้นตลาดในเวียดนาม ทั้งนี้ ราคาหุ้น CPF ปัจจุบันต่ำกว่าราคาใช้สิทธิเพิ่มทุนที่ 25 บาท แม้อาจจะทำให้ ผู้ถือหุ้นบางรายไม่ใช้สิทธิ แต่คาดว่า CP Group ผู้ถือหุ้นใหญ่ (49%) จะใช้สิทธิเพิ่มทุนทั้งหมด
ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น ทำให้ SET Index วันนี้น่าจะมีโอกาสดีดตัวช่วงสั้น ทำให้ดัชนีน่าจะขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1580 จุด ส่วนแนวรับระหว่างวันอยู่ที่ 1570 จุด
ตลาดผิดหวัง SPALI เปลี่ยนใจไม่จ่ายเงินปันผล แต่ให้ warrant แทน
วานนี้ราคาหุ้น SPALI ลดลงแรงถึง 7.92% เนื่องจากตลาดผิดหวังต่อการประกาศงดจ่ายเงินปันผล แต่กลับให้ warrant แก่ผู้ถือหุ้น อัตราส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 Warrant กำหนดอัตราการใช้สิทธิ 1:1 ราคาหุ้นละ 4 บาท/หุ้น อายุ 1 ปี นับเป็นการงดจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมานักลงทุนชื่นชอบหุ้น SPALI เพราะประเด็นเรื่องเงินปันผลที่ให้ Dividend Yield สูงเกินกว่า 4% ต่อปี
และการออก warrant ยังทำให้เกิดผลกระทบของการเพิ่มทุน หรือ เกิด Dilution Effect ราว 20% แม้จะเกิดในปี 2561 แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร (Net Profit) ในปี 2561 ที่ 10% ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ EPS ลดลงจาก 3.23 บาท เหลือ 2.83 บาท และทำให้ Expeceted P/E เพิ่มจาก 7.6 เท่า เป็น 8.7 เท่าตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีเงินสดเพิ่มขึ้นจากการแปลงสภาพ 1.7 พันล้านบาท ทำให้ช่วยลด Net Gearing ratio จาก 0.84 เท่า เป็น 0.6-0.8 เท่า จากภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยที่มีรวมกันกว่า 2 หมื่นล้านบาท (แบ่งเป็นหนี้สินระยะยาว 62% และ ที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี)
และในฐานะที่ SPALI เป็น 1 ในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของประเทศที่เน้นสินค้าหลากหลาย แต่เน้นไปทางตลาดกลางและบน (อัตราการปฏิเสธในการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ หรือ Rejectiong rate ราว 8% ซึ่งต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่สูงในระดับ 10% หรือหากคำนวณเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมสูงกว่า 20%) ทำให้เชื่อมั่นต่อความมั่นคงการทำธุรกิจในระยะยาว และด้วย P/E ต่ำมาก และบริษัทจะกลับมาจ่ายเงินปันผลในปีถัดไป ประกอบกับ Fair Value หลังเพิ่มทุนอยู่ที่ 28.3 บาท ซึ่งยังมี upside ราว 16% จึงแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว
ฤดูกาลประกาศงบงวด 2Q60 KTB ตั้งสำรอง EARTH เต็มจำนวน
วานนี้ มีการรายงานงบฯ ของ ธ.พ. ออกมาเพิ่มเติมคือ LHBANK เป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยคาด เช่นเดียวกับ TISCO ที่รายงานออกมาก่อนหน้านี้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม ธ.พ. วานนี้ปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าวันนี้น่าจะมี sentiment เชิงลบกดดัน จากการที่ KTB ออกมายอมรับว่าได้จัดชั้นลูกหนี้ EARTH มูลค่า 1.20 หมื่นล้านบาทเป็น NPL ในงวด 2Q60 และจะต้องกันสำรองหนี้ฯ เพิ่มอีกราว 4 พันล้านบาท (เดิมได้ตั้งสำรองฯ แล้ว 8 พันล้านบาท) โดยไม่คิดมูลค่าหลักประกัน (ซึ่งเป็นหุ้น EARTH) ส่งผลให้นักวิเคราะห์ ASPS คาดการณ์ NPL ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นงวด 2Q60 เพิ่มขึ้นเป็น 4.88% จาก 4.36% ณ สิ้นงวด 1Q60 (ไม่รวม NPL ลูกหนี้รายอื่นๆ ที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น) และสูงกว่าสมมติฐานเดิมที่ประเมินไว้เพียง 3.80% ส่งผลให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 และ 2561 ลง 20.9% และ 9.3% จากเดิม ประมาณการใหม่กำไรสุทธิปี 2560 จะหดตัวถึง 15.5% yoy แต่จะพลิกกลับมาเติบโต 20.6% yoy ในปี 2561 ส่วนงวด 2Q60 คาดว่าผลประกอบการจะหดตัวถึง 44.0% qoq และ หดตัว 44.9% yoy
นอกจากนี้ประเด็น EARTH คาดว่าน่าจะกระทบเจ้าหนี้รายอื่น ๆ เช่น KBANK แม้ที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองฯ ไปแล้ว 4 พันล้านบาท ว่าจะต้องมีการตั้งสำรองฯ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้น ธ.พ.ที่ไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ คาดหวังเงินปันผลได้สูง และราคาหุ้นยัง laggard ได้แก่ SCB, KKP, TCAP
Fed ยังมั่นใจต่อเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้านโยบายการเงินตึงตัว
วานนี้มีแถลงการณ์ ของ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แสดงความมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เฟดยังคงเดินหน้าการใช้นโยบายการเงินตึงตัวต่อไป โดยประเมินว่า Fed น่าจะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 1.25% ในปัจจุบันเป็น 1.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ พร้อมกับการลดขนาดงบดุล (Balance sheet) ภายในสิ้นปีนี้ แต่น่าในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอตัวลงบ้าง และอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงมาอยู่ที่ 1.9% ในเดือน พ.ค. ลดลงมาต่อเนื่องหลายเดือน จากระดับสูงสุด 2.7% ในเดือน ก.พ. ซึ่งเชื่อว่าประเด็นเหล่านี้น่าจะรับรู้ไปแล้ว
ขณะที่ทางด้านธนาคารกลางแคนาดา (Bank of Canada) ผลการประชุมล่าสุด ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี จากเดิมอยู่ที่ 0.50% เพิ่มเป็น 0.75% ส่งผลให้แคนาดาเป็นประเทศแรกๆ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่ เริ่มดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวตามสหรัฐ อย่างไรก็ตาม แม้อัตราเงินเฟ้อของแคนาคาชะลอตัวลง อยู่ที่ 1.3% ในเดือน พ.ค. ลดลงจากช่วงต้นปีที่ 2.1% ในเดือนม.ค. แต่ ธนาคารกลางแคนาดามองว่าการชะลอตัวของเงินเฟ้อดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
โดยสรุปการขึ้นดอกเบี้ยฯ ของประเทศพัฒนาแล้วน่าจะกดดันต่อ fund flow ไหลออก
ราคาน้ำมันดิบแกว่งตัวต่ำกว่า 50 เหรียญฯ กังวล Oversupply
วานนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1% มาอยู่ที่ 45.49 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 3) หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานสต๊อกน้ำมันดิบคงคลัง ลดลงถึง 7.56 ล้านบาร์เรล เทียบกับตลาดฯคาดจะลดเพียง 2.85 ล้านบาร์เรล รวมทั้งราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลงมากว่า 1.75% ในช่วงเกือบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามตลาดยังคงกังวล Oversupply ของน้ำมันดิบ โดยให้น้ำหนักไปที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบประจำเดือน มิ.ย.2560 ของกลุ่มโอเปกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 อีก 3.93 แสนบาร์เรลต่อวัน มาที่ระดับ 32.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเฉพาะลิเบียและไนจีเรีย ที่ยังคงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันราว 88,000 บาร์เรลต่อวันขึ้นไปแตะระดับ 9.34 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการชะลอการผลิตน้ำมันดิบ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน Cindy เคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งของสหรัฐฯ รวมถึงยอดหลุมขุดเจาะน้ำมันดิบในสัปดาห์ล่าสุด (7 ก.ค.60) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 หลุม มาอยู่ที่ 763 หลุม ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักกดดันการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในกรอบจำกัด
แม้ราคาหุ้นในกลุ่มน้ำมันอาจได้รับผลกระทบช่วงสั้นตามเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ฝ่ายวิจัยฯยังมีมุมมองว่า หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงไปในระดับต่ำกว่า 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีต้นทุนสูง ต้องเริ่มปรับลดกำลังการผลิต ทำให้ supply โดยรวมลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันก็จะกลับสู่จุดสมดุลอีกครั้ง จึงยังคงแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับ PTT (FV@B460) และ PTTEP (FV@B116)
ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค แต่แรงซื้อกลุ่ม TIP ยังเบาบาง
วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคมูลค่าราว 475 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) โดยแรงซื้อหลักๆ อยู่ในตลาดหุ้นแถบเอเชียตะวันออก คือ เกาหลีใต้มูลค่ากว่า 336 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และไต้หวัน 148 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) สำหรับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP มีเพียงฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิด้วยมูลค่าราว 5 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ขณะที่อินโดนีเซียถูกขายสุทธิอีก 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยซึ่งต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 14 ล้านเหรียญ หรือ 466 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิได้เพียงวันเดียว) ขณะที่สถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิกว่า 1.7 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 1.36 หมื่นล้านบาท สวนทางกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิต่อเนื่องกว่า 710 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5)
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
กลยุทธ์ให้ทยอยขายทำไรรายหุ้น แต่ให้ซื้อ JWD
แม้ดัชนีหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1560-1580 จุด แต่ปรากฏว่าหุ้นรายตัวกลับให้ผลตอบแทนที่สูงมาก จนทำให้ราคาหุ้นเกินจากมูลค่าหุ้นปี 2560 ได้แก่ RS ผลตอบแทนจากต้นเดือนจนถึงปัจจุบัน (ytd) 15%, IHL +9%, GPSC 8.28%, SEAFCO 6.7%, MTLS 5.2%, PYLON 4.9%. DTAC 4.3%, EA3.3%, TMB 2.6% GCAP 2.4% KTB 1%
ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้เริ่มทยอยขายทำกำไรเป็นรายหุ้นและให้ switch มาเข้าหุ้นที่ยังมี upside โดยวันนี้แนะนำ JWD (ซื้อ:[email protected]) รายละเอียดปรากฏในย่อหน้าถัดไป
1. ระยะสั้นมีประเด็นบวก หลังที่ประชุมคณะกรรมการวานนี้มีมติรับทราบการลงนามบันทึกข้อตกลงในการจัดตั้งกอง REIT เพื่อลงทุนในห้องเย็น และคลังเก็บเอกสารของ JWD โดยรายละเอียดของมูลค่าขายและเงื่อนไขยังไม่ได้มีการเปิดเผย แต่เบื้องต้นคาดส่งผลบวกต่อ JWD ทั้งในด้านของการรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า REIT (ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ) อีกทั้งยังเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายกิจการต่อไปในอนาคต
2. แนวโน้มผลประกอบการจากธุรกิจหลักได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว โดยเฉพาะธุรกิจห้องเย็น ซึ่งในพื้นที่มหาชัยมีลูกค้านำสินค้าปลามาสต็อกมากขึ้นหลังราคาปลาทูน่ายังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง
3. คลายกังวลมากขึ้นต่อประเด็นการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายไปกว่าเดิมจากปัจจุบันที่อยู่ในสถานะใบเหลือง หลังภาครัฐดำเนินการแก้ไขต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจบริหารสินค้าอันตราย และบริหารรถยนต์ ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยรวม ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิปี 2560 ที่ 221 ล้านบาท Turnaround จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 9 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในหุ้น Top Pick สำหรับการลงทุนใน 2H60