- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 July 2017 17:06
- Hits: 5017
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อเมื่อ SET เหนือ 1569'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารช่วยประคองตลาดให้ปิดทรงตัวที่ 1569 โดยหุ้นพลังงานอ่อนลงจากกำไร 2Q60 อ่อนแอ ส่วนกลุ่มอื่นๆ เป็นลักษณะเลือกซื้อ/ขายรายบริษัท สถาบันในปท.นำขายสุทธิ ต่างชาติซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน
ประเด็นสำคัญวันนี้ : ปัจจัยภายนอก – แม้ว่าตลาดมีความกังวลเรื่องทรัมป์ จูเนียร์รับข้อเสนอเรื่องอ่อนไหวนางฮิลลารี่เมื่อมิ.ย.ปีก่อน ซึ่งอาจเกี่ยวพันผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แต่นลท.ก็มีความหวังว่าคณะทำงานทรัมป์จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายต่างๆได้ หลังวุฒิสภาสหรัฐเลื่อนช่วงเวลาการหยุดพักผ่อนในเดือนส.ค.ออกไปเพื่อมีเวลาพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆมากขึ้น ส่วนการแถลงนโยบายกลางปีของประธานเฟดต่อสภาล่างและสภาสูงวันพุธ-พฤหัสนี้ คาดไม่มีประเด็นใหม่ ดัชนีค่าเงิน US$ อ่อนเป็น 95.6 จาก 96.06 ในวันที่ 10 ก.ค. 60 ราคาน้ำมันบวกเล็กน้อยเป็น 45-47 US$/bbl รอดูผลประชุม 24 ก.ค.นี้ ซึ่งลิเบีย&ไนจีเรียได้รับเชิญร่วมกับ 5 ประเทศกลุ่มโอเปกด้วย
ปัจจัยภายใน – กลุ่มธนาคารเริ่มรายงานกำไร 2Q60 เริ่มด้วย TISCO รายงานกำไร 2Q60 ที่ 1.5 พันล้านบาท (+25%YoY และ +1%QoQ) ดีกว่าตลาดคาด 5% โดยสินเชื่อรายย่อย (รวมเช่าซื้อ) ยังคงหดตัว แต่สินเชื่อเพื่อบริโภคโตได้ NPL ลดเล็กน้อย Coverage ratio เพิ่มเป็น 172% ในสิ้น 2Q60 คงแนะนำซื้อ ให้ TP 82 บาท สำหรับกลุ่มที่เราคาดว่าจะมีกำไรโตดี คือ ท่องเที่ยว เช่น AOT, MINT, ERW เป็นต้น ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลดีใน DBSV Coverage โดยคาดว่าจะให้ Yield 2-3% สำหรับผลประกอบการงวด 1H60 ได้แก่ KKP, BCP, LALIN, LH, QH, SENA, SIRI เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อและปรับพอร์ตเป็นระยะช่วงตลาด Sideways ส่วนหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TISCO
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นค่าบวก/อ่อนตัวที่แนวรับ แนวรับ 1560-1550 จุด แนวต้าน 1580-1590 จุด
สำหรับหุ้น SCAN ที่มีโอกาส New High เข้ามาใหม่เป็น TMB, INTUCH, GPSC, HTECH, ERW, TKS หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PSH, SINGER หุ้นที่หลุด List เป็น MONO และหุ้นแนะนำไป & ให้หาจังหวะขายทำกำไร ได้แก่ ECL, PYLON, ADVANC, AJ
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : กังวลเรื่องทรัมป์ จูเนียร์รับข้อเสนอเรื่องอ่อนไหวนางฮิลลารี่มิ.ย.ปีก่อน แต่ก็หวังว่าคณะทำงานทรัมป์จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายต่างๆได้
ตลาดหวังว่าคณะทำงานทรัมป์จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายต่างๆให้เริ่มมีผลบังคับใช้ได้ รวมถึงร่างกฎหมายประกันสุขภาพด้วย หลังจากมีรายงานว่าวุฒิสภาสหรัฐได้ตัดสินใจเลื่อนช่วงเวลาการหยุดพักผ่อนของวุฒิสมาชิกในเดือนส.ค.ออกไปเพื่อให้วุฒิสภามีเวลามากขึ้นในการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ปิดตลาดดัชนี DJIA ทรงตัวดัชนี S&P500 -0.08% ดัชนี Nasdaq +0.27%
สำหรับความกังวลเรื่องนายโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เผยแพร่อีเมลที่ชี้ให้เห็นว่าตนเองได้รับข้อเสนอเป็นข้อมูลที่อ่อนไหวของนางฮิลลารี คลินตัน จากทางรัสเซียเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่ทางการสหรัฐอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียได้เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้วหรือไม่นั้น ผ่อนคลายลงหลังมีประเด็นบวกข้างต้น
+ สหรัฐ : สต็อกสินค้าคงคลังค้าส่งบวกได้ในเดือนพ.ค.
สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่ง +0.4% ในเดือนพ.ค. ถือเป็นการเพิ่มมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.59
• ภาวะตลาดน้ำมัน : บวกขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 64 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 45.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 64 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 47.52 ดอลลาร์/บาร์เรล โดย EIA คาดว่าการขุดเจาะน้ำมันสหรัฐจะลดลงเป็น 9.9 ล้านบาร์เรล/วันในปี 61 (จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 10 ล้านบาร์เรล/วัน) และลิเบีย & ไนจีเรียได้รับเชิญในการหารือของ 5 ประเทศกลุ่มโอเปกในวันที่ 24 ก.ค.นี้ด้วย ซึ่งตลาดหวังว่าจะมีการขอร้องให้สองประเทศนี้ควบคุมการผลิตเพื่อให้บรรลุการลดการผลิตน้ำมันตามแผนที่วางไว้
• ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับขึ้นเพียง 0.1%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.50 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ระดับ 1,214.70 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
ดอกเบี้ยขึ้นอาจกระทบตลาดหุ้นไม่มากถ้า EPS growth แข็งแกร่ง
• อัตราดอกเบี้ยที่จะกลับเป็นทิศทางขาขึ้น (FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วตั้งแต่ปี 59 ส่วน ECB และ BOE คาดว่าจะเริ่มลดการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายตั้งแต่ปลายปี 60 เป็นต้นไป) ไม่เป็นบวกกับตลาดหุ้นนัก เพราะจะมีเม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลกลับเข้าไปลงทุนในตลาดเงิน อย่างไรก็ตาม ขึ้นกับ EPS Growth ของตลาดหุ้นด้วย ถ้ากำไรตลาดยังขยายตัวได้สูง จ่ายปันผลได้ดี ตลาดหุ้นก็ยังน่าจูงใจ
• อย่างเช่น ตลาดหุ้นสหรัฐที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งมากแม้เฟดขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้เพราะมีความหวังว่าการปฎิรูปภาษีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐจะทำให้กำไรตลาดเติบโตสูง โดยหากอัตราภาษีธุรกิจลดลงจาก 35% เป็น 25% กำไรจะเพิ่มทันที 15% แต่ถ้าลดเป็น 15% เลยก็จะบวก 30% ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นการทยอยลดทีละ Step
• แต่ EPS Growth ตลาดหุ้นไทยปีนี้จะต่ำเพียง 6-8% (DBSV & Market Consensus) ขณะที่เฉลี่ยภูมิภาคอยู่ที่ 13-14% และของดาวโจนส์โต 10% ยังผลให้ตลาดไทยขาดสเน่ห์ไปในปีนี้ ประกอบกับ 18 เดือนที่ผ่านมา SET Index ปรับขึ้น 22% อยู่ในระดับชั้นนำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่าในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 2% ก็ตาม
• ดังนั้นจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยใน 3Q60 จะยัง Sideways ในกรอบ 1530-1600 จุด คล้ายกับช่วง 1H60 ที่ผ่านมาส่วนปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่จะทำให้ตลาดบวกได้ดีกว่าคาด คือ 1. ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรงเหนือ 55 ดอลลาร์ (ซึ่งจะดีต่อกลุ่มพลังงานที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดที่ 19% ของตลาดไทย), 2. NPL ถึงจุด Peak และจะทยอยลดลง (ดีต่อกลุ่มธนาคารที่มี Market cap 14%), 3. การลงทุนภาครัฐเดินหน้าได้เร็ว (ดีต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ซึ่งมี Market cap ประมาณ 12-15%) , 4. การเมืองไทยและต่างประเทศมีเสถียรภาพ ส่วนที่ดีอยู่แล้ว คือ ภาคส่งออกที่เติบโตได้ 5% ปีนี้ และภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง
• กลยุทธ์ : เลือกซื้อและปรับพอร์ตเป็นระยะในช่วงตลาด Sideways ในกรอบ หุ้นเด่นประกอบด้วย 1) กลุ่มเติบโต (HANA, MINT, SEAFCO, TISCO), กลุ่มมั่นคง (AOT, PTT, SCC) และกลุ่มปันผลสูง (LH, KKP, SENA)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]