- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 11 July 2017 16:37
- Hits: 2810
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
Sideway? หลังดัชนีปรับลดลงไปกว่า 10 จุด นับจากต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และภายใต้ที่ไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ คาดภาพรวมแล้วดัชนีมีโอกาสปรับขึ้น แต่คาดยังอยู่ในกรอบแคบ โดยประเด็นต่างประเทศอยู่ระหว่างรอ (1) ถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส 12 – 13/7/60 โดยเฉพาะนโยบายการเงินรอบครึ่งปี ขณะที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเฟดเปิดเผยรายงานการประชุม (13 – 14/6/60) ซึ่งส่งสัญญาณการปรับลดงบดุลจากปัจจุบัน
ที่ 4.5 ล้านล้านUSD อย่างไรก็ตามยังไม่ระบุช่วงเวลา และในทางกลับกันคาดเฟดมีมุมมองที่ดีต่อและมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และ (2) การประชุมของ รมต.กระทรวงน้ำมัน ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งโอเปกและนอกโอเปก ในวันที่ 24/7/60 ซึ่งคาดมีการหารือการปรับลดการผลิตของลิเบียและไนจีเรีย ที่ก่อนหน้าได้รับการยกเว้น คาดเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันในระยะสั้น อย่างไรก็ตามระดับราคาน้ำมันล่าสุด ยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้ง WTI, Brent และ Dubai เฉลี่ย 45 – 47USD คาดยังกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น PTT และ PTTEP เป็นต้น
ทางด้านประเด็นในประเทศ ยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ คาด Sentiment ยังเป็นบวก แม้ Fund Flow ยังมีความผันผวนจากแรงซื้อ/ขายสุทธิ สลับกัน โดยค่าเงินสหรัฐฯ ล่าสุด USD index อยู่ที่ 96.09 อ่อนค่าเมื่อเทียบกับที่ลงไประดับ 95.5 จุดในช่วงสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 9 เดือน
แต่คาดได้รับการชดเชยเข้ามาบ้างจากเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q60 / เงินปันผล เริ่มจากกลุ่มธนาคาร ประมาณกลางเดือนก.ค. หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนส.ค. ขณะที่คาดกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการ 2Q/60 ดีต่อเนื่อง เช่น TOP, SPALI , MTLS และ WORK เป็นต้น ขณะที่ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ตามความหมายของตลาด แต่มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย หลังปรับเป้าหมาย GDP และการส่งออก เพิ่มขึ้น
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK เป็นต้น
SET SET50 SET100
1,569.44 -0.20 992.88 -0.81 2,233.72 -1.80
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-/+) ตลาดต่างประเทศ DJIA -5.82, NASDAQ +23.32, S&P +2.25, FTSE +19.11, CAC +20.48 และ DAX +57.24
หลังวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีตอบรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร – มิ.ย. เพิ่มขึ้น 222,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ที่ 4.4% สอดคล้องคาดการณ์ และเพิ่มขึ้นจาก 4.3% เมื่อ พ.ค.
โดยที่อยู่ระหว่างรอ (1) ประธานเฟด กำหนดแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันพุธ และแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ และ (2) บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป เป็นต้น ทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวัง
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยบวกจากยอดส่งออก - พ.ค. ของเยอรมนี เพิ่มขึ้น 1.4% เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 1.2% ส่งผลให้เกินดุลการค้า อยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้นจาก 1.97 หมื่นล้านยูโร เมื่อเม.ย.
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$0.17 อยู่ที่US$44.40 ต่อบาร์เรล หลังลิเบียและไนจีเรีย ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันจากชาติสมาชิกโอเปก และประเทศนอกโอเปก ที่ประเทศรัสเซีย ในวันที่ 24/7/60 เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวโน้มการผลิตน้ำมันของทั้งสองประเทศ หลัง 2 ประเทศดังกล่าวซึ่งเป็นสมาชิกโอเปกได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของทางกลุ่มก่อนหน้านี้
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.26 1.89 3.10
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 32,881.28
สถาบัน -136.92
บัญชีหลักทรัพย์ -733.90
ต่างประเทศ -225.88
ในประเทศ +1,096.71
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น MONO, WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.02 อยู่ที่ 2.37%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.08 อยู่ที่ 11.11
หุ้นแนะนำ : TOP
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร. 02-684-8788