- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 04 July 2017 17:41
- Hits: 2584
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
Sideway? ภายใต้ที่ยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ เข้ามา ขณะที่ตลาดภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง แม้ตลาดสหรัฐฯ และยุโรป จะปรับขึ้น
อย่างไรก็ตามคาดราคาน้ำมันที่ยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานกลุ่มพลังงาน และคาดทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้น แต่คาดอยู่ในกรอบจำกัด โดยคาดภาพรวมยังได้รับปัจจัยกดดัน หลังธนาคารกลางหลายประเทศ เช่น FED, BOE และ ECB เป็นต้น ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงทยอยลดวงเงิน QE
นอกจากนี้ยังมีความกังวลต่อประเด็นความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แนะติดตามการลงมติร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ หรือ “อเมริกันเฮลธ์แคร์” หลังวันที่ 4/7/60 (เลื่อนมาจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ส่วนทางด้านปัจจัยในประเทศ คาดมีเพียงแรงเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q60 / เงินปันผล เริ่มจากกลุ่มธนาคาร ประมาณกลางเดือนก.ค. หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนส.ค. ขณะที่คาดกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการ 2Q/60 ดีต่อเนื่อง เช่น TOP, SPALI , MTLS และ WORK เป็นต้น พร้อมแนะติดตามการประชุม กนง. (5/7/60) โดยคาดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%
ทางด้าน Fund Flow คาดยังมีความผันผวนจากแรงซื้อ/ขายสุทธิ สลับกันไป แนะติดตามค่าเงินสหรัฐฯ หลังกลับมาแข็งค่า ขณะที่มูลค่าซื้อขายรวมวานนี้ ไม่มากนัก เพียง 30,000 ล้านบาท
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น
SET SET50 SET100
1,579.41 +4.67 999.16 +4.81 2,251.20 +9.74
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +129.64, NASDAQ -30.36, S&P +5.60, FTSE +64.37, CAC +75.04 และ DAX +150.19
โดยยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ภายหลังเฟดอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐทั้ง 34 แห่ง สามารถเดินหน้าแผนเพิ่มการจ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืนได้ หลังธนาคารเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีรอบที่ 2 ของเฟด และหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ จากสัญญาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลง
รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (1) ดัชนีภาคการผลิตของ ISM – มิ.ย. อยู่ที่ 57.8 เพิ่มขึ้นจาก 54.9 เมื่อพ.ค. และดีกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 55.1 และ (2) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิต – มิ.ย. อยู่ที่ 52.0 ลดลงจาก 52.7 เมื่อพ.ค. แต่ยังสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิต
ส่วน Nasdaq ปิดในแดนลบ หลังนักลงทุนมีความกังวลต่อราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่อาจมีมูลค่าสูงเกินไป ซึ่งรวมถึง หุ้นบริษัทอเมซอน
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มจากหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์หลังจีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต – มิ.ย. อยู่ที่ 51.7 เพิ่มขึ้นจาก 51.2 เมื่อพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.38 1.90 3.08
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 29,995.55
สถาบัน +775.92
บัญชีหลักทรัพย์ -482.84
ต่างประเทศ +408.34
ในประเทศ -701.42
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.04 อยู่ที่ 2.35%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.04 อยู่ที่ 11.22
หุ้นแนะนำ : SPALI
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร. 02-684-8788