- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 June 2017 16:10
- Hits: 2801
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ผ่านช่วง Window Dressing แต่คาดดัชนียังแกว่งตัวในเชิงบวกต่อใน 2 สัปดาห์แรกของ ก.ค. มีแรงหนุนจากผลกำไรใน 2Q60 หุ้น ธ.พ. ต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อช่วงสั้น และหุ้นก่อสร้างที่สดใสตามความคืบหน้าลงทุนภาครัฐ Top pick เลือก CK(FV@35) เป็น Land Transport Operator ได้ประโยชน์เต็มที่จากแผนลงทุนรัฐ (รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และชำนาญในการเดินรถ) หุ้นมี upside 20% (อ่าน Equity Talk รับเหมาก่อสร้าง รอบนี้ของจริง 29 ก.ย. นี้)
ดัชนียังไม่ผ่าน 1590 จุด ถูกกดดันจาก BANPU, TASCO
SET Index วานนี้แกว่งผันผวนช่วงกว้างกว่า 15 จุด โดยดัชนียืนในแดนบวกในเกือบทั้งวัน ก่อนที่จะถูกแรงขายในช่วง 15 นาทีสุดท้ายก่อนตลาดปิดทำการ โดยกลุ่มที่ถูกขายอย่างหนัก คือ กลุ่มพลังงานโดยเฉพาะ BANPU วานนี้ปรับลดลงแรงถึง 4.62% ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในรอบกว่า 8 เดือน จากประเด็นข่าวทางการจีนออกคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อควบคุมมลพิษจากการใช้ถ่านหิน ซึ่งกดดันถ่านหินที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยวานนี้ TASCO ลดลง 4.26% ทำให้ในรอบ 5 วันหลังสุด ราคาหุ้น TASCO ลดลงรวม 8.91% สะท้อนราคายางมะตอยปรับฐาน น่าจะกดดันผลประกอบการ 2Q60 หดตัวลง
ในทางตรงข้าม หุ้นที่ขึ้นได้อย่างโดดเด่น คือ RS วานนี้ขยับขึ้นอีก 4.88% ส่งผลให้ในเดือน มิ.ย. RS ให้ผลตอบแทนสูงถึง 35.08% มิ.ย. เชื่อว่าน่าจะมาจากความคาดหวังต่อผลประกอบการ 2Q60 จะดีขึ้นจากผลของฤดูกาล โดยเฉพาะสื่อโฆษณา รวมทั้งธุรกิจ Health & Beauty ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากงวด 1Q60 นอกจากนี้หุ้นชิ้นส่วนรถยนต์ วานนี้ outperform ตลาด นำโดย IRC และ STANLY รวมทั้งเป็นหุ้นขึ้นช้ากว่าหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่ม เช่น SAT, AH เป็นต้น
โดยรวมตลาดวานนี้ หุ้นในกลุ่ม SET50 ถูกเทขายทำกำไรช่วงท้าย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากใกล้จะพ้นช่วงการทำ Window Dressing แล้ว ขณะที่ดัชนี sSET ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ยังคงปรับฐานต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยยังไม่สามารถข้ามผ่าน 1590 จุด ไปได้
ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นทุกแห่งในภูมิภาค
วานนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียยังคงหยุดทำการ และจะกลับมาเปิดทำการในวันจันทร์หน้า ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 336 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ นำโดยตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 161 ล้านเหรียญ (หลังจากสุทธิเพียงวันเดียว) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 85 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 2 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ส่วนตลาดหุ้นไทย แม้วานนี้จะพลิกกลับมาติดลบในช่องท้ายก่อนปิดตลาดฯ แต่ทั้งต่างชาติและสถาบันฯ ยังคงซื้อสุทธิกว่า 2.96 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และ 1.59 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยแรงขายหลักๆมาจากพอร์ตโบรกเกอร์กว่า 3.59 พันล้านบาท
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 6.70 พันล้านบาท ต่างกับต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 2.31 พันล้านบาท
หลังจากนี้ SET ยังคงแกว่งตัวในเชิงบวก แม้หลังทำ window dressing
แม้ว่าปรากฏการณ์ Window Dressing ในช่วงสิ้นไตรมาส 2 ใกล้จะเสร็จสิ้นลงไป แต่เชื่อว่าแรงส่งยังมีต่อเนื่อง 2 สัปดาห์จากนี้ หรือจนถึงครึ่งเดือน ก.ค. ซึ่งผลการศึกษาของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณของ ASPS พบว่าดัชนีหุ้น SET50 จะให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 3.44% (ด้วยความน่าจะเป็นกว่า 80%) ทั้งนี้ส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากความคาดหวังเกี่ยวกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของไตรมาส 2 ซึ่งน่าจะเริ่มทยอยประกาศปลายเดือน ก.ค. เป็นต้นไป นำโดยกลุ่ม ธ.พ. ซึ่งนักวิเคราะห์กลุ่ม ธ.พ. ได้ทยอยทำ Earning Preview หุ้นในกลุ่มฯ แล้ว โดย SCB (FV@B178) คาดว่า 2Q60 กำไรสุทธิทรงตัวจาก 1Q60 (แต่หดตัว 7%yoy) จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ทำให้ yield ของเงินให้สินเชื่อลดลง กระทบผลประกอบการราว 1 เดือน ขณะที่ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายยังไม่ลดลง ทำให้ NIM ลดลงเหลือ 3.1% จาก 3.17% ในงวดก่อนหน้า แต่จะได้รายได้เงินปันผลเข้ามาช่วยลดผลกระทบ สำหรับงวด 3Q60 น่าจะฟื้นตัวขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อสุทธิที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงฤดูกาล โดยรวมปีนี้ผลประกอบการ SCB ปีนี้เติบโต 7%yoy โดยมีจุดเด่นที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังถูก ที่ระดับ PBV เพียง 1.49 เท่า และ div. yield สูงเกือบ 4%
ขณะที่กำไรในหุ้น real sector น่าจะทยอยประกาศในช่วงครึ่งหลังเดือน ส.ค. เป็นต้นไป
ทั้งนี้ แม้งวด 2Q60 คาดว่าจะเห็นฐานกำไรที่ลดลงจาก 1Q60 ซึ่งทำกำไรได้ 2.85 แสนล้านบาท (คิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2560) เป็นพราะหลายอุตสาหกรรมเข้าสู่ช่วง Low Season และ มีวันหยุดยาวหลายช่วง กระทบภาคการผลิต ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เฉพาะอย่างยิ่งน้ำมัน และเหล็ก ก็ปรับตัวลดลง ทำให้มีความเสี่ยงที่จะต้องบันทึก Stock Loss เทียบกับมีบันทึกกำไรพิเศษ งวด 1Q60 ราว 2 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วง 2H60 โดยกลุ่มที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่นในช่วง 2H60 เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์, เช่าซื้อ-ลิสซิ่ง, เกษตร-อาหาร, ชิ้นส่วนฯ, ค้าปลีก-ค้าส่ง, รับเหมาก่อสร้าง และพลังงานทดแทน
ในส่วนของกระแส Fund Flow มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อสุทธิในหุ้นไทยอีกครั้ง จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี นักลงทุนต่างชาติมักมีสถานะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. เฉลี่ยราว 6.5 พันล้านบาท โดยซื้อสุทธิ 4 ใน 5 ปี สวนทางกับนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่มักขายสุทธิในเดือน ก.ค. ด้วยมูลค่าเฉลี่ยสูงถึง 6.9 พันล้านบาท และเป็นการขายสุทธิ 3 ใน 5 ปี จึงอาจทำให้การปรับขึ้นของ SET Index อยู่ในกรอบจำกัด
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636