- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 29 June 2017 17:38
- Hits: 1418
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังติดแนวต้าน 1585-1590 จุด เพราะยังมีแรงขาย DELTA และผิดหวังต่อผลประมูลโรงไฟฟ้าสหกรณ์และราชการที่ GUNKUL, BCPG ได้น้อยกว่าคาด แต่จะยังได้แรงหนุนจากหุ้นก่อสร้างที่มีความคืบหน้าตามลำดับ และยังมี window dressing ส่วนผลประชุมธนาคารกลางโลกประเทศพัฒนาแล้ว พร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินตึงตัวเช่นเดียวกับสหรัฐ เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน แม้ยังมีความเสี่ยง Brexit ยังกดดัน Fund Flow ชะลอการซื้อในภูมิภาค ยังชอบ AOT (FV@B56) และ BDMS (FV@B24) ตรงกันข้ามแนะนำขาย DELTA(FV@B78)
DELTA ยังกดดันจากการตั้งสำรองฯ ที่จะเพิ่มอีกครั้ง เพราะยังมีคดีค้างที่ศาลฯ
วานนี้ราคาหุ้น DELTA ปรับลดลงแรงกว่า 3.3% เนื่องจาก ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลย้อนหลังสำหรับปี 2540-2543 มูลค่ากว่า 734 ล้านบาท (ไม่ได้นำดอกเบี้ยรับสำหรับเงินฝากในต่างประเทศมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อจ่ายภาษี) ให้แก่กรมสรรพากร ซึ่งส่งผลให้ DELTA ต้องบันทึกเงินกันสำรองค่าภาษีฯ ดังกล่าวในงวด 2Q60 ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ (สัดส่วน 12% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 ที่ ASPS คาดไว้เดิม) จึงต้องมีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 ลง 12% ภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2560 หดตัวลง 1.4% จากปี 2559 (จากเดิมที่คาดเติบโต 11.9% yoy) แต่ในปี 2561 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตราว 19.7% จากปี 2560 (ฐานกำไรที่ลดลง) และเนื่องจากการจ่ายภาษีเป็นเงินสดจึงกระทบต่อการประเมินมูลค่าด้วย DCF คือจะทำให้มูลค่าหายไปหุ้นละ 1 บาท มูลค่าหุ้นใหม่อยู่ 78 บาท
และหากพิจารณาด้านพื้นฐาน DELTA จัดเป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งมากมาโดยต่อเนื่อง โดยมีสถานภาพเป็นเงินสดสุทธิ (net cash) ถึง 1.90 หมื่นล้านบาท ประเด็นนี้ จึงไม่ได้กระทบต่อฐานะการเงิน และแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดปี 2560 ของบริษัทฯ (payout ratio ที่เฉลี่ยราว 68% ของกำไรก่อนภาษี จ่ายปีละครั้ง) อย่างไรก็ตามก็ตามราคาหุ้นที่ปรับลดลงวานนี้ถือว่ายังสูงกว่ามูลค่าหุ้นใหม่ดังกล่าวข้างต้น ถึง 12% จึงยังแนะนำ “ขาย” เช่นเดิม
ทั้งนี้ DELTA ยังมีความที่มีอยู่ เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ พบว่า มีโอกาสที่จะเกิดค่าใช้จ่ายในลักษณะดังกล่าวอีก เพราะยังมีคดีที่ค้างที่ศาลฏีกาอีกในเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการค้าชำระการจ่ายภาษีในช่วง ปี 2544-2547 เป็นเงิน 401 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทราบผลของคดีในอีก 1-2 ปีข้าง ซึ่งหากต้องชำระเพิ่มเติมตามจำนวนดังกล่าว น่าจะกระทบต่อประมาณการกำไรในปี 2561 ราว 6% และกระทบมูลค่าหุ้น 0.5 บาท เป็นความเสี่ยงที่ยังมีอยู่
เป็นโอกาสะสม GUNKUL, BCPG ตลาดผิดหวังได้โซลาร์ราชการและสหกรณ์น้อยไป
วานนี้ (28 มิ.ย.2560) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สรุปรายชื่อผู้ชนะ ผลการจับสลากโครงการโซลาร์หน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร เฟส 2 อย่างเป็นทางการแล้วเฉพาะในส่วนของหน่วยงานราชการ มีบริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิจัยศึกษาผ่านการคัดเลือก ดังนี้ BCPG จำนวน 8.94 MW) BGRIM 23.58 MW และ SUPER 5 MW
ยกเว้น ส่วนของสหกรณ์ภาคการเกษตร ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด แต่เบื้องต้น คาดว่าน่าจะมีบริษัทเหล่านี้อยู่ในข่ายที่น่าจะมีโอกาสได้ แต่จะมากน้อยเท่าใด ต้องรอผลอย่างเป็นทางการ
GUNKUL (1 โครงการ) BGRIM (3 โครงการ) และ SUPER (25 MW) อาทิ BCPG ยังไม่มีรายละเอียดเช่นกัน โดยฝ่ายวิจัยจะนำเสนอรายละเอียดอีกครั้งหลังจากได้รับข้อมูลเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมโครงการโซลาร์หน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรไว้ในประมาณการของกลุ่มพลังงานทดแทน ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นพบว่าสำหรับหุ้นที่ฝ่ายวิจัยศึกษาที่คาดว่าจะมีโอกาสได้รับผลบวกจากการชนะประมูลในครั้งนี้ ได้แก่ BCPG และ GUNKUL ซึ่งทุกๆ 5 เมกะวัตต์ที่ BCPG และ GUNKUL เข้าไปลงทุนนั้น จะเพิ่มมูลค่าพื้นฐานราว 0.11 และ 0.05 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ
และเป็นที่สังเกตว่า กำลังการผลิตที่ได้จากการประมูลรอบนี้ถือว่ามีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตที่มีอยู่แล้ว จึงให้น้ำหนักต่อโครงการที่มีอยู่แล้ว และจะเดินหน้าทำการผลิต พร้อมกับรับรู้กำไรในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับลดลงได้สะท้อนความผิดหวัง จึงน่าจะเป็นโอกาสซื้อสะสมหุ้น BCPG และ GUNKUL ซึ่งมี upside และ การเติบในระยะยาว
ผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย น่าจะกดดันค่าเงินโลกผันผวน
ผลประชุมประจำปีของธนาคารกลางยุโรป(ECB Forum) รวม 3 วัน ระหว่าง 26-28 มิ.ย. นี้ที่โปรตุเกส (มีผู้ว่าธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว 150 ประเทศ) สรุปว่า ยุโรป(ECB) และอังกฤษ (BOE) มีความเห็นตรงกัน คือ น่าจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินตึงตัว ตามสหรัฐ หรือบางแห่งที่เดินหน้าไปก่อนแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปและอังกฤษที่ฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยุโรปฝั่งภาคการผลิตขยายตัวต่อเนื่อง คือ ดัชนี PMI ภาคการผลิต เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และตลาดแรงงงานคือ อัตราการว่างงานโดยรวม ล่าสุด ลดลงมาอยู่ที่ 9.3% (ระดับต่ำสุดตั้งแต่ วิกฤตซับไพรม์ มิ.ย. 2552) หลักๆ ลดลงจากประเทศที่เป็นหัวเรือใหญ่ในยุโรป คือ อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี ขณะที่เงินเฟ้อยุโรป ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 1.4% ในเดือน มิ.ย. (จาก 1.9% เม.ย. 2560) เช่นเดียวกับอังกฤษ ดัชนีชี้นำยังขยายตัวสะท้อนจากภาคการผลิต คือ PMI ภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน หนุนอัตราการว่างงาน ล่าสุด เดือน พ.ค. ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.6% (ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2518) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษ ที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดติดต่อกัน 8 เดือน คือจาก 0.9%yoy ต.ค. ขึ้นมาเป็น 2.9%yoy เดือน พ.ค. แม้มีความเสี่ยง Brexit
ล่าสุด ECB คงดอกเบี้ยนโยบาย 0% ตั้งแต่ มี.ค. 2559 และคง QE ที่เดือนละ 6 หมื่นล้านยูโร (ระยะเวลา เม.ย. ถึงสิ้นปีนี้ (รวมระยะเวลา QE ทั้งหมด 34 เดือน มี.ค. 2558 – ธ.ค. 2560 เม็ดเงินรวม 2.29 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 65.4% ของวงเงิน QE สหรัฐ) และ BOE คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% (ต่ำสุดในประวัติการณ์)
ด้วยเหตุนี้ หนุนให้ค่าเงินยูโรและปอนด์เทียบดอลลาร์สหรัฐ แกว่งตัวในทิศทางแข็งค่าราว 2.4% และ 2.6% ตามลำดับนับตั้งแต่ 18 มิ.ย.-ปัจจุบัน และแข็งค่านับตั้งแต่ต้นปี(ytd) ราว 8.2% และ 4.9% ตามลำดับ (หลังจากที่เงินยูโร และเงินปอนด์อ่อนค่าราว 0.1% และ 12.9% นับจากหลังการทำประชามติ หรือ Brexit) ตรงกันข้ามเงิน Dollar ยังแกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่าราว 1.76% นับตั้งแต่ระดับสูงสุดวันที่ 18 มิ.ย. หรืออ่อนค่าตั้งแต่ต้นปีราว 6% ล่าสุดอยู่ที่ 95.7 จุด ซึ่งน่าจะเป็นผลดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเริ่มชะอลตัวบางประการ เช่น ดัชนีรอปิดสัญญาขายบ้านสหรัฐ (Pending home sales) เดือนพ.ค. ลดลง 0.8%mom หรือลดลง 1.7%yoy (ปรับลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3) เป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และราคาบ้านในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสต็อกบ้านที่ลดลง นอกเหนือจากนักลงทุนขาดความ เชื่อมั่นต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนาย ทรัมป์ฯ
ราคาน้ำมันฟื้นตัว จากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าสุดในรอบ 9 เดือน
แม้วานนี้ทางสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯจะปรับเพิ่มขึ้น 1.18 แสนบาร์เรล ตรงข้ามกับที่ตลาดฯคาดว่าจะลดลง 2.58 ล้านบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 มาอยู่ที่ 44.74 เหรียญฯต่อบาร์เรล (หลังจากสร้างจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน) เนื่องจากราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบัน น่าจะสะท้อนความกังวลต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มมากขึ้นของสหรัฐฯ และกลุ่ม OPEC ที่ได้รับการยกเว้นการปรับลดกำลังการผลิต อย่าง ลิเบียและไนจีเรีย โดยปริมาณส่งออกน้ำมันดิบของไนจีเรียคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเกิน 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ส.ค.2560 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือน รวมถึงกำลังการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 9.35 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตให้ถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในสิ้นเดือน ก.ค.
อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลารสหรัฐฯที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 59 ที่ผ่านมา เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบในสกุลเงินสหรัฐฯมีราคาต่ำลง และดึงดูดนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่นๆกลับมาลงทุนมากขึ้น
ด้วยราคาน้ำมันที่เริ่มฟื้นตัว และน่าจะสะท้อนปัจจัยลบต่างๆไปมากแล้ว จึงแนะนำซื้อลงทุนในหุ้นน้ำมันอย่าง PTT (FV@B460) และ PTTEP(FV@B116)
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นทุกแห่ง ยกเว้นไทย
วานนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียยังคงหยุดทำการต่อเนื่องจนถึงวันศุกร์ ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยต่างชาติสลับมาขายสุทธิ ด้วยมูลค่าราว 224 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 4 วัน) และเป็นการขายสุทธิทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นไทยพียงแห่งเดียว ประเทศที่ขายสุทธินำโดยเกาหลีใต้ 207 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 4 วัน) ตามด้วยไต้หวัน 41 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญ(ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิกว่า 29 ล้านเหรียญ หรือ 973 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่กลับมาซื้อสุทธิราว 252 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯสลับมาขายสุทธิราว 2.26 พันล้านบาท ต่างกับต่างชาติที่ยังคงซื้อสุทธิกว่า4.23 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636