- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 June 2017 16:48
- Hits: 1096
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : VIBHA
Our Portfolio Jun 17 : FSMART, HANA, MGT, RS, TACC
ซื้อเก็งกำไรในช่วงอ่อนตัว
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบแคบตามคาดโดยยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ขณะที่นักลงทุนยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในวันนี้ ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มพลิกกลับมาไหลออกทั้ง 3 ตลาดรวมกันกว่า 2 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET index จะยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1560-1573 จุด โดยมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงไปก่อนจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงกว่า 5% ซึ่งกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามวัน ได้แก่ การเลือกตั้งของอังกฤษ การประชุม ECB และการให้การต่อวุฒิสภาของ เจมส์ โคมีย์ กรณีรัสเซียซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงในตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ส่วนค่าเงินบาทเริ่มพลิกมาอ่อนค่าเล็กน้อยทำให้คาดว่ากระแสเงินทุนยังคงชะลอการไหลเข้า ส่วนด้านเทคนิคดัชนีคาดว่ายังมีแนวโน้มแกว่งตัวออกข้างหลังยังไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1570-1573 จุด ขึ้นไปได้
กลยุทธ์ : ระยะสั้น เก็งกำไรเมื่ออ่อนตัว ระยะกลาง-ยาว ทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานตามแนวรับ
แนวรับ 1565-1563 , 1560 จุด
แนวต้าน 1570-1573 , 1575 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : TKS, SYNTEC, AOT (short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$140ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$145ล้าน ไต้หวัน US$16ล้าน ขณะที่ไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$25ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าแต่อาจเบาบางลงเพื่อติดตามผลการเลือกตั้งที่อังกฤษ, การประชุม ECB และการแถลงของอดีต FBI สหรัฐที่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันนี้
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) เชื่อตลาดผ่อนคลายขึ้นหลังเหตุการณ์สำคัญต่างประเทศ ประเด็นนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผอ. FBI ให้การต่อวุฒิสภาสหรัฐแล้ว ไม่มีประเด็นกระทบตลาดหุ้นและเข้ากระบวนการสืบสวนต่อไป ส่วนการประชุม ECB เราคาดคงนโยบายเดิมและพูดถึงเศรษฐกิจในเชิงบวกเพื่อให้ตลาดเตรียมใจสำหรับการ tapering ซึ่งเชื่อว่ายังไม่ใช่เร็วๆนี้แต่เป็นปีหน้า ส่วนการเลือกตั้งอังกฤษ ล่าสุดเสียงของนางเทเรซาเมย์อยู่ที่ 47% การไม่ได้เสียงข้างมากในสภาอาจทำให้การเจรจา Brexit ต้องใช้เวลามากขึ้น
(0) น้ำมันร่วงกังวล Supply สต๊อกน้ำมันสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดทุกประเภท และยังมีแรงกดดันจากการปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTI ปี 2018 ของ EIA จาก US$55.10/BBL เป็น US$53.61/BBL เพราะคาดว่าการผลิตน้ำมันจากสหรัฐปีหน้าจะเพิ่มขึ้นแตะ 10 ล้านบาร์เรล/วัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นลบต่อกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะ PTTEP, PTT, PTTGC, STA เป็นบวกต่อกลุ่มสายการบิน TASCO, EPG, VNG
(-) VIBHA แม้แนวโน้มผลประกอบการจะค่อยๆฟื้นตั้งแต่ 2Q17 จากโรคที่มาพร้อมกับฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติ และการปรับโครงสร้างของเครือวิภารามที่ลดสัดส่วนการถือหุ้นในรพ.ที่ขาดทุน แต่กำไรที่อ่อนแอใน 1Q17 ทำให้เราปรับกำไรปีนี้ลง 17% เหลือ 733 ล้านบาท โตเพียง 2% Y-Y โดยรวมประโยชน์ที่จะได้จากการจ่ายเงินเพิ่มของสำนักงานประกันสังคมแล้ว ปรับราคาพื้นฐานลงจาก 3.20 บาทเหลือ 2.50 บาท (DCF) ยังแนะนำขาย ปัจจุบันมี Norm PE 50 เท่า แพงสุดในกลุ่ม แต่มี ROE เพียง 10.4% ต่ำกว่ากลุ่ม
(-) KTC เกณฑ์ใหม่ในการกำกับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ธปท.กำลังหารือกับธนาคารพาณิชย์และ Non-Bank ซึ่งรวมถึงการกำหนดวงเงินที่ให้กับสินเชื่อส่วนบุคคล การจำกัดจำนวนการถือบัตรเครดิตสำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท และอาจรวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ปัจจุบันอยู่ที่ 28% และบัตรเครดิตที่ 18% ในข้อหลังนี้จะกระทบในเชิงลบต่อ KTC มากสุด เราประเมินว่าทุกๆการปรับลงของดอกเบี้ย 1% จะกระทบกำไรสุทธิราว 20% เราแนะนำชะลอการลงทุนไปก่อน ส่วนกลุ่มธนาคาร คาดกระทบจำกัด แม้ KBANK และ SCB จะมีรายได้จากธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมากที่สุด แต่เป็นสัดส่วนเพียง 5% ของสินเชื่อทั้งหมด
(+) TKS ราคาหุ้น TKS +40% YTD laggard SYNEX ที่ +78% YTD ขณะที่ราคาหุ้น TKS ปัจจุบันที่ 12.10 บาทเป็นมูลค่าของ SYNEX ถึง 10 บาทเมื่อคิดตามสัดส่วน Market cap. ที่ TKS ถืออยู่ 38.5% ถือว่าตลาดให้ค่าของธุรกิจ TKS น้อยมากเกินไป หากดู Valuations TKS มี PE (อิง consensus) 12 เท่า PBV 2.2 เท่า ทิ้งห่าง SYNEX ที่มี PE 21 เท่าและ PBV 3.6 เท่า มากไป ขณะที่ TKS เป็นหุ้น High yield ตัวหนึ่ง เราคิดว่าราคาปัจจุบันน่าสนใจอย่างน้อยในเชิงเก็งกำไรโดยมอง 13 บาทซึ่งเป็นไฮเดิมเป็นแนวต้าน
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
8 มิ.ย. -จีน: ดุลการค้า (พ.ค.)
- ญี่ปุ่น: 1Q17 GDP
- อังกฤษ:เลือกตั้งทั่วไป
- ยูโรโซน: ECB Meeting
9 มิ.ย. -จีน: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ค.)
13-14 มิ.ย. -สหรัฐ: FOMC meeting (ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25%)
13 มิ.ย. - ยูโรโซน: ZEW Survey (มิ.ย.)
14 มิ.ย. -จีน: ยอดค้าปลีก, Fixed assets, Industrial production (พ.ค.)
-สหรัฐ: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ค.)
15 มิ.ย. - อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI)ประชุม
16 มิ.ย. - ญี่ปุ่น: BOJ meeting
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ค.)
-สหรัฐ: Housing starts & Building permits (พ.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดบวกท่ามกลางปริมาณซื้อขายเบาบาง โดยนักลงทุนชะลอการซื้อขายและเฝ้าติดตามการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ การประชุม ECB และ การให้การของ FBI กรณีของรัสเซีย ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกันวันที่ 8 มิ.ย.นี้
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ โดยมีแรงกดดันจากราคาน้ำมัน ขณะที่ นักลงทุนส่วนใหญ่เฝ้าจับตาประเด็นสำคัญที่จะเกิดขึ้นวันที่ 8 มิ.ย.นี้
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดผสม โดยราคาน้ำมันเช้านี้เริ่มมีจังหวะรีบาวน์ ขณะที่นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนเหตุการณ์สำคัญคืนนี้
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้แกว่งตัว Sideway ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 34.01-34.04 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ปิดลบ 2.47 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 45.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลงแรงกว่า 5% สาเหตุหลักจาก EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดทุกชนิด โดยน้ำมันดิบสหรัฐปรับเพิ่ม 3.3 ล้านบาร์เรล สวนทางตลาดและ API ที่คาดว่าจะลดลง 3.5 และ 4.6 ล้านบาร์เรล
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ปิดลบ 4.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,293.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีแรงขายออกมาหลังปรับขึ้นติดต่อกัน 3 วัน เนื่องจากได้แรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ทั้งนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างในวันที่ 8 มิ.ย.นี้
Contact person : Jitra Amorntham Register : 014530
Tel: 02-646-9966 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research