- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 07 June 2017 17:11
- Hits: 1162
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
เงินบาทแข็งค่าเกินคาด กดดันผู้ส่งออกที่เน้นรายได้เป็นดอลลาร์แต่มีต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเงินบาท เช่น STA ยกเว้นผู้ส่งออกที่มีต้นทุนดอลลาร์จะได้ประโยชน์คือ TFG ส่วนผู้ส่งออกที่เหลือ (ชิ้นส่วน และ เกษตร/อาหารส่งออก) กระทบราว 5% ของกำไรปัจจุบัน ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจากสมมติฐานที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ SET ยังผันผวน 1560-1574 จุด Top picks KKP([email protected]) และ MAJOR(FV@B38) กำไรงวด 2Q60 สดใส และหลบหุ้นกระทบบาทแข็ง
ค่าเงินบาทแข็งค่ามากสุดเป็นอันดับ 2 รองจากเงินเยน
เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่านับจากปลายปี 2559 และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ล่าสุดพบว่าเงินบาททำจุดต่ำใหม่ที่ 33.96 บาทต่อดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี (ล่าสุด 33.7 บาทต่อดอลลาร์เมือ เดือนก.ค. 2558) หรือแข็งค่าราว 5.5% นับจากต้นปี 2560 จากผลของเงินทุนไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งนับจากต้นปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีเงินไหลเข้าในตราสารหนี้ 1.35 แสนล้านบาท (หรือ 3.9 พันล้านเหรียญฯ) แม้ลดลง 26%yoy (ขณะที่ทั้งปี 2559 เงินไหลเข้าตราสารหนี้รวม 3.65 แสนล้านบาท)
ทั้งนี้นับว่าเงินบาทแข็งค่ามากสุด หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม TIP (เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียแข็งค่าเพียง 1.4% ขณะที่ เงินเปโซ ของฟิลิปปินส์ ทรงตัวใกล้เคียงกับ ณ สิ้นปี 2559) เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าตราสารหนี้ทั้ง 2 ประเทศเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ไหลเข้าอินโดนีเซีย 6.782 พันล้านเหรียญ และไหลเข้าฟิลิปปินส์ 416 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปัจจุบันเริ่มมีการขายสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และแม้จะซื้อสลับขายในฟิลิปปินส์ แต่สภาพก็ไม่แตกต่างจากประทเศไทย
หรือแม้จะเทียบกับประเทศหัวเรือใหญ่ในเอเชีย อย่างจีน พบว่า เงินหยวน แข็งค่าเพียงน้อยเท่านั้น โดยมีการแข็งค่ามากเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลประกาศปรับลดอัตราแลกเปลี่ยน ตามแรงกดดันของสหรัฐ (จากเดิม 6.864 หยวนต่อดอลลาร์ เหลือ 6.809 หยวน เมื่อ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา) เพราะถูกมองว่าค่าเงินหยวนอ่อนค่ามากเกินไป และเป็นการเอื้อต่อการส่งออก ทำให้ได้ดุลการค้ากับคู่ค้ามากกว่าเกินไป จึงทำให้ค่าเงินหยวนจากปลายปี 2559 จนถึงปัจจุบัน แข็งค่าแล้ว 2.3%ytd
ทั้งนี้เงินบาทที่แข็งค่า 6% เป็นรองเพียง เงินเยนที่แข็งค่า 6.9% ถือว่าแข็งมากสุดแห่งหนึ่ง ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจมิได้ฟื้นตัวแบบแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะเงินทุนไหลเข้าในญี่ปุ่น ทั้งตราสารหนี้ที่สูงถึง 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากต้นปีถึงปัจจุบับ (ytd)นับว่าสูงสุดในเอเชีย (รองลงมาเป็นเกาหลีใต้ 2.6 หมื่นล้านเหรียญ) เข้าตลาดหุ้นราว 2.0 พันล้านเหรียญฯ ytd นอกจากนี้น่าจะเป็นผลจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่ากับคู่ค้าทั่วโลก (สะท้อนจากที่ Dollar Index อ่อนค่า 5.5%ytd)
ตราบที่ค่าเงินเอเชียยังแข็งค่า จากเหตุผลดังกล่าว เชื่อว่าน่าจะกดดันภาคส่งออกของไทย โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่รายได้ในรูปดอลลาร์เป็นหลัก แต่มีต้นทุนเป็นเงินบาทเกือบทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ รายละเอียดติดตามในย่อหน้าถัดไป
เงินแข็งค่ามีเพียง TFG ที่ได้ประโยชน์ แต่ราคาหุ้นแพงมากแล้ว
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า การแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลกระทบต่อกลุ่มส่งออก โดยแบ่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิและ Fair Value ปีนี้จากมากไปน้อย ได้ดังนี้
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุด: เนื่องจากมีรายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ แต่มีต้นทุนเป็นเงินบาททั้งหมด คือ STA ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 7.2% ตามด้วย KSL ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 6.7%
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลาง: เนื่องจากมีรายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ และมีต้นทุนเป็นเงินบาทบางส่วน โดยกลุ่มอาหาร ที่ได้รับผลกระทบ คือ TU ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 5.5% ตามด้วย CPF ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 4.9% และ GFPT ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 2.4% ส่วน BR ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตามมาด้วยกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่ได้รับผลกระทบ คือ HANA ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 6.2%, DELTA ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 5.7%, KCE ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 5.5% และ SVI ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิลดลง 5.2%
และ กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่เป็น Net Exporter อย่าง VNG ได้รับผลกระทบต่อกำไรราว 80-100 ล้านบาท ต่อการแข็งค่าทุก 1 บาท หรือคิดเป็น 5.9% และกระทบต่อ Fair Value ปัจจุบันราว 0.96 บาท
ตรงข้าม หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท คือ TFG ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.8% อย่างไรก็ตาม แนะนำเพียงเก็งกำไรช่วงสั้น เนื่องจากราคาปัจจุบันเกิน Fair Value ไปแล้ว และคำแนะนำลงทุนยังเป็น ขาย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างมาก แต่หากพิจารณาจากต้นปีจนถึงปัจจุบันเฉลี่ย 34.83 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับสมมติฐานที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ ดังนั้นหากเงินบาทแข็งค่าในระดับนี้ต่อเนื่องคาดว่าตลอดปี 2560 น่าจะอยู่ที่ 34.5 บาท บวกลบไม่มาก ซึ่งโอกาสปรับลดลงจากประมาณกำไรของปี 2560 จึงไม่มากนัก และคาดว่าจะกระทบต่อมูลค่าหุ้นปี 2560 ไม่มากเช่นกัน โดยหากพิจารณารายหุ้นพบว่า หุ้นที่ยังเหลือ Upside ที่น่าสนใจอยู่ นั่นคือ GFPT หาก Fair Value ลดลงจากเดิม 0.5% ก็ยังมี upside ราว 11%, CPF ยังมี upside ราว 18% รวมทั้ง VNG ยังมี upside อีกกว่า 17%
แรงซื้อหุ้นในภูมิภาครวมทั้งไทย เริ่มแผ่วลง
แม้วานนี้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการ เนื่องจากเป็นวัน Memorial Day แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่านักลงทุนต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 17 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) โดยเฉพาะตลาดหุ้นอินโดนีเซียยังคงถูกขายสุทธิราว 51 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 แห่ง แม้ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ แต่แรงซื้อแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิเพียง 30 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10), ฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6) และไทยถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยเพียง 0.53 ล้านเหรียญ หรือ 18 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 87 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 1.32 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิรา 2.46 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 5 วัน)
ภายใต้ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหันมาลงทุนหุ้น Domestic คือ MAJOR
ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น MAJOR ปรับตัวลดลงมาแล้ว 4.3% สวนทางกับทิศทางกำไร 2Q60 สดใส จากหนังฟอร์มยักษ์มากมาย โดยฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไร 2Q60 เติบโตเด่นต่อเนื่อง QoQ โดยหนังที่เข้าต้นไตรมาสอย่าง Fast and Furious 8 สร้างรายได้ให้กับ MAJOR แล้วถึง 430 ล้านบาท และหนังที่ทำรายได้สูงเกิน 100 ล้านบาท เช่น Guardian of the galaxy 2, ฉลาดเกมส์โกง, Pirate 5
นอกจากนี้ยังมีหนังฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉายอีกหลายเรื่อง เช่น Wonder Woman (เข้าฉายแล้ว), The Mummy, Transformers 5 ซึ่งจะเข้าฉายใน มิ.ย. 60 ส่วนรายได้จากค่าโฆษณาคาดว่าจะได้ปัจจัยหนุนตามภาวะอุตสาหกรรรม ซึ่ง Nielsen รายงานเม็ดเงินในสื่อโรงหนังเดือน เม.ย. 60 เพิ่มขึ้นถึง 11% YoY ประกอบกับ MAJOR ขายโฆษณาได้ง่ายขึ้นตามรายชื่อหนังที่น่าสนใจ ด้วยราคาที่ปรับฐานลงมา จึงเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรรับปัจจัยบวกตามฤดูกาล โดยฝ่ายวิจัยฯให้ราคาเหมาะสมที่ 38 บาท มี Upside อีก 14%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636