- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 June 2017 17:25
- Hits: 6019
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"กังวลปัจจัยต่างประเทศ"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PACE (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1.7 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มกระจายกันซื้อสุทธิ ตลาดโดยรวมถูกกดันโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTTEP-ศาลสั่งปิดโครงการ S1 ในพื้นที่ส.ป.ก. ส่งผลกระทบต่อถึง PTT ที่เป็นบริษัทแม่ด้วย) แต่หุ้นแบงค์ใหญ่ปรับขึ้นจึงชดเชยกันไป สำหรับมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินที่ธปท.ออกมาไม่ได้มีผลกระทบต่อตลาดมาก เงินบาทที่แข็งไปที่ 33.93 บาท/US$ กลับมาปิดตลาดที่ 34.01 บาท/US$... SET Index ปิดตลาด -0.75 จุด อยู่ที่ 1566.85
- การเมืองต่างประเทศ : 7 ชาติประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ อ้างว่าให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย, จับตาผอ. FBI แถลงต่อวุฒิสภาเรื่องความเชื่อมโยงของทรัมป์กับรัสเซีย 8 มิ.ย.นี้ และการเลือกตั้งอังกฤษ ซึ่งคะแนนนิยมนางเทเรซา เมย์นำห่างคู่แข่งน้อยลง
+ สหรัฐ : ดัชนีภาคบริการ ISM โตน้อยลงแต่ยังเหนือ 50 ส่วนการประชุมเฟด 13-14 มิ.ย. ตลาดมองว่าโอกาสที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยยัง >80%
+ กลุ่มโรงพยาบาล : คาดรัฐบาลจะเพิ่มค่ารักษาประกันสังคมให้กับโรงพยาบาลในไม่ช้านี้ คาดไว้ว่าจะ +5% คาด RJH, LPH ได้รับประโยชน์มากสุด รองลงมาเป็น CHG และ BCH เมื่อคิดรายได้จากประกันสังคมต่อรายได้รวม ให้ LPH และ RJH เป็นหุ้น Top Picks
- ค่าเงินบาท : ช่วงสั้นยังแข็งที่ 34+/- บาท/US$ สัดส่วนลงทุนต่างชาติในต.ตราสารหนี้ไทยสัปดาห์ก่อนเพิ่มเป็น 13.3% จาก 10.5% ใน 2 สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบาทแข็งกระทบต่อหุ้นส่งออกและบ.ที่มีรายได้ US$ แต่เป็นบวกกับผู้นำเข้าและบ.ที่มีหนี้ต่างประเทศ
- PTTEP : ศาลฯสั่งให้หยุดผลิตในโครงการ S1 บนพื้นที่ส.ป.ก. ซึ่งกระทบปริมาณผลิต 5-8% ของบริษัท ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะหยุดชั่วคราวหรือถาวร กรณีที่แย่คือ ต้องหยุดถาวรก็จะต้อง Write off เงินลงทุน 1.7 พันลบ. (0.44 บาท/หุ้น หรือ 8% ของ EPS ปี 60F) และมูลค่าหุ้นที่ประเมินด้วย DCF จะหายไป 19 บาท/หุ้น หรือ 18% รวมทั้งทำให้มูลค่าหุ้น PTT (ถือ PTTEP 65%) ลดลง 17 บาท/หุ้น หรือ 4%
สำหรับหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น LPH
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้าน 1570 หรือ 1575-1580 แนวรับ 1550, 1530-1520 เน้นซื้อตามค่าบวก
สำหรับการ SCAN หุ้น New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น UV, GOLD, TIPCO, TWPC, BDMS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น UTP, ANAN, BTS, SAMART, JAS, ESSO หุ้นที่หลุด List เป็น ROJNA, LST, BR ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่ Take Profit คือ KKP
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค& Reseach Team - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
- 7 ชาติประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ อ้างให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายบาห์เรน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ เยเมน ลิเบีย และมัลดีฟส์ ได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูดกับกาตาร์ โดยซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะปิดชายแดนทางบกและทะเล รวมทั้งห้ามเครื่องบินกาตาร์รุกล้ำดินแดน น่านน้ำ และน่านฟ้า ทั้งนี้จะให้เวลาชาวกาตาร์ 2 สัปดาห์ในการเดินทางออกจากประเทศ และให้ประชาชนจาก 3 ชาติเดินทางออกจากกาตาร์
• สหรัฐ : ดัชนีภาคบริการ ISM เติบโตน้อยลงแต่ยังเหนือ 50 และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานชะลอตัวลง
# สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM ขยายตัวที่ระดับ 56.9 ในเดือนพ.ค. ซึ่งลดลงจากจากระดับ 57.5 ในเดือนเม.ย. และอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 57.0
# ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือนหลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนมี.ค.
• สหรัฐ : จับตาผอ. FBI แถลงต่อวุฒิสภาเรื่องความเชื่อมโยงของทรัมป์กับรัสเซียวันที่ 8 มิ.ย.นี้นายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) จะแถลงต่อวุฒิสภาสหรัฐในวันที่ 8 มิ.ย.นี้เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และรัสเซีย
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนลง
ความกังวลในกรณี 7 ชาติตัดสัมพันธ์กับกาตาร์ และเหตุการณ์โจมตีกรุงลอนดอนก่อนที่การเลือกตั้งของอังกฤษวันที่ 8 มิ.ย.นี้ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ปิดคตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 21,184.04 จุด ลดลง 22.25 จุด หรือ -0.10% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,436.10 จุด ลดลง 2.97 จุด, -0.12% ดัชนีNASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวันทำการล่าสุดที่ 6,295.68 จุด ลดลง 10.11 จุด, -0.16%
- สัญญาน้ำมันดิบ : อ่อนลงเล็กน้อยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 26 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 47.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENTลดลง 48 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 49.47 ดอลลาร์/บาร์เรล กรณี 7 ชาติแบนกาตาร์ทำให้ตลาดกังวลว่ากรณีนี้จะกระทบแผนการลดปริมาณผลิตของกลุ่มโอเปก ซึ่งได้ขยายเวลาบรรลุข้อตกลงไปเป็นสิ้นมี.ค.61 ขณะที่มีรายงานว่าสหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่มกว่า 10% นับตั้งแต่กลางปี 59 เป็น 9.34 ล้านบาร์เรล/วัน ขึ้นมาใกล้กับรัสเซียและซาอุฯ
+ สัญญาทองคำ : บวกต่อสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 2.5 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่ระดับ 1,282.7 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุน คือ ปัญหาการเมืองต่างประเทศ
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
-/+ เงินบาทแข็ง : หุ้นเสียประโยชน์และได้ประโยชน์
# ค่าเงินบาทแข็งขึ้น (หลุด 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐลงมา) เนื่องจากมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทยมากขึ้น สัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ของต่างชาติเพิ่มเป็น 13.3% ในสัปดาห์ก่อน เทียบกับ 10.5% ใน 2สัปดาห์ก่อนหน้า และการถือครองตราสารหนี้ระยะยาว 5-10 ปีเพิ่มเป็น 29.74% จาก 26.88% ในช่วงเวลาเดียวกัน
# ทางธปท.ได้ปรับกฎเกณฑ์ควบควมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อให้ภาคธุรกิจออกไปลงทุนในต่างประเทศได้รวดเร็วขึ้น และมากขึ้น โดยขยายช่องทางและเพิ่มวงเงินการโอนเงินรายบุคคล ทั้งนี้ประชาชนไทยที่มีทรัพย์สินมากกว่า50 ล้านบาท สามารถไปลงทุนต่างประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านตัวแทนในไทย, บล.ซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนกับลูกค้าเพื่อการลงทุนได้, ให้ตัวกลางประเภทอื่นพานักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศไทย และ TFEX สามารถเป็นโบรกเกอร์เทรดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อออกสินค้าที่เป็น FX ได้
# กลุ่มส่งออกสุทธิ/บริษัทที่มีรายได้รูปดอลลาร์ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งในระยะสั้น เพราะทำให้รายได้และอัตรากำไรที่แปลงกลับมาเป็นเงินบาทลดลง โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยเดือนเม.ย.-พ.ค.60 (QTD) แข็งขึ้นจากเฉลี่ยใน1Q60 ประมาณ 2% และแข็งขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนราว 2% เช่นกัน สำหรับหุ้นที่มีรายได้จากการส่งออกสุทธิ/รายได้รูปดอลลาร์สูง ได้แก่ ASIAN, CCET, CFRESH, DELTA, IVL, KCE, KSL, HANA, SVI, STA,THCOM, TU, VNG ส่วนที่มีรายได้ส่งออกปานกลาง เช่น GFPT, TKN เป็นต้น
# ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็งเพราะนำเข้าวัตถุดิบมาก/มีหนี้สินต่างประเทศ คือ SMIT, THAI, TVO เป็นต้นสำหรับกลุ่มพลังงานจะได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะแม้จะมีรายได้อิงเงินดอลลาร์สหรัฐแต่ก็มีหนี้ต่างประเทศด้วยเช่นกัน
- PTTEP & PTT : ประเมินผลกระทบกรณีศาลฯสั่งหยุดผลิตโครงการ S1 ในพื้นที่ส.ป.ก.
# PTTEP แจ้งว่าบริษัทได้หยุดผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ส.ป.ก. ในโครงการ S1 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 3 มิ.ย.60 ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อ 1 มิ.ย.60 ซึ่งทำให้ปริมาณขายน้ำมันดิบลดลงประมาณ 15,000 บาร์เรล/วัน LPG ลดลงประมาณ 130 ตัน/วัน และก๊าซธรรมชาติลดลงประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ขณะนี้กรมการเชื้อเพลิงอยู่ระหว่างรวบรวมผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้รับสัมปทานบนบกรายอื่นเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาต่อไป
# ทั้งนี้ โครงการ S1 ตั้งอยู่ในพื้นที่จ.สุโขทัย ,พิษณุโลก และกำแพงเพชร โดย PTTEP และ ปตท.สผ.สยาม ถือสัดส่วนโครงการ S1 จำนวน 100% มีปริมาณขายน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 59 ที่ 27,351 บาร์เรล/วัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ประมาณ 264 ตัน/วัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 21 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
# ความเห็น DBSV Retail Research : สำหรับผลกระทบจากการหยุดผลิตทั้งปีจะคิดเป็นประมาณ 5% ของปริมาณการผลิตเป้าหมาย และ 7-8% ของประมาณการการผลิตปี 60-61 ของเรา แต่ถ้าหยุดชั่วคราวผลกระทบก็น้อยกว่านั้น
ส่วนกรณีที่แย่สุด คือ ต้องหยุดผลิตโครงการ S1 ในพื้นที่ส.ป.ก.ดังกล่าวตลอดไป ทาง PTTEP อาจจะต้อง Writeoff เงินลงทุนก้อนหนี้ราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.7 พันล้านบาท) คิดเป็น 0.44 บาท/หุ้น (8% ของประมาณการ EPS ปี 60) และเมื่อไม่มีรายได้จากส่วนนี้ โดยไม่มีส่วนอื่นเข้ามาเสริมแทน จะทำให้มูลค่าหุ้นPTTEP ที่ประเมินด้วยวิธี DCF หายไป 19 บาท/หุ้น (18% ของราคาเป้าหมายตามพื้นฐานที่ให้ไว้ในปัจจุบันที่ 105บาท/หุ้น)
สำหรับผลกระทบต่อ PTT ที่ถือหุ้น PTTEP อยู่ 65% กรณีที่แย่สุด คือ มูลค่าหุ้น PTTEP ต่ำลง 18% ดังข้างต้น จะทำให้มูลค่าหุ้นของ PTT ลดลง 17 บาท/หุ้น หรือหายไป 4% จากราคาเป้าหมายปัจจุบันที่ 443 บาท/หุ้น
+ ญี่ปุ่นขอให้พิจารณาขยายลงทุนรถไฟเร็วสูงจากฝั่งตะวันออกเชื่อมต่อมายังอุตสาหกรรมอยุธยา
# นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นเพื่อหารือในประเด็นการค้าการลงทุนระหว่างวันที่ 5-8 มิ.ย. 60 ว่าญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอขอขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน)กรุงเทพฯ-ระยองเพื่อเชื่อมต่อ 3 สนามบิน (สนามบินอู่ตะเภา-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินดอนเมือง) และเชื่อมต่อพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ให้ออกไปสิ้นสุดถึงสถานีพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมญี่ปุ่นหลายแห่ง หากมีเส้นทางคมนาคมที่ดีจะขยายการลงทุนได้อีกมาก
# ความเห็น DBSV Retail Research : หากมีการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากฝั่งตะวันออก (EEC) มายังแถบอยุธยาก็จะเป็นข่าวดีกับหลายอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง เช่น ROJNA (อยุธยา),ไฮเทค (อยุธยา), NNCL (รังสิต ปทุมธานี) เป็นต้น
• สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติต้านการอนุญาตให้นำเข้าชิ้นส่วนสุกรจากสหรัฐ
# นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่าขณะนี้สมาคมฯเตรียมยื่นหนังสือคัดค้านกรณีที่สหรัฐกดดันให้ทางการไทยอนุญาตให้นำเข้าชิ้นส่วนสุกรที่ชาวอเมริกันไม่บริโภค เช่น เครื่องใน หัว ขา จากสหรัฐ# การให้นำเข้าชิ้นส่วนสุกรจากสหรัฐเข้ามาไทยอย่างไม่จำกัด จะเป็นการเพิ่มอุปทานในประเทศและทำให้ราคาสุกรจะตกต่ำลง ซึ่งทางสมาคมฯระบุว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในเวียดนาม ไปแล้ว และส่งให้ราคาสุกรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (เราได้ข้อมูลมาว่าราคาสุกรในเวียดนามลดลงจาก 60-70 บาท/กก.มาเป็น 35-40 บาท/กก. ทำให้ผู้เลี้ยงทั้งรายเล็กรายใหญ่ในเวียดนามขาดทุนกันถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึง CPF ที่เข้าไปประกอบธุรกิจสุกรในเวียดนามและรายงานผลขาดทุนจากธุรกิจส่วนนี้ในงวด 1Q60)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]