- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 31 May 2017 17:53
- Hits: 3015
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1560'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยแกว่งและปิดทรงตัวต่อเป็นวันที่ 4 ปิดตลาด +0.40 จุดที่ 1568.47 การซื้อขายซบเซายังคงเป็นการเลือกซื้อเก็งกำไรหุ้นรายตัวเป็นหลัก ต่างชาติรายงานซื้อสุทธิ 4.8 พันล้านบาท เพราะมี Big lot หุ้น BCJ มูลค่า 4.84 พันล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 45.25 บาท/หุ้น) หากไม่รวมรายการนี้คาดว่าจะซื้อ/ขายพอๆกัน
• สหรัฐ : ราคาบ้านทั่วประเทศมี.ค. +5.8%YoY สูงสุดในรอบ 33 เดือน...หนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้อีกอย่างน้อย 2 ครั้ง
+ ญี่ปุ่น : การผลิตภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณฟื้นตัว การผลิตเดือนเม.ย. +4%MoM หนุนโดยการผลิตรถยนต์
+ จีน : ดัชนี PMI ภาคผลิต&บริการออกมาดี...ภาคผลิตทรงที่ 51.2 ภาคบริการเพิ่มเป็น 54.5 จาก 54.0 ในเม.ย. เป็นไปตามทิศทางรัฐบาล
- โกลด์แมนด์ แซคส์ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ปี 60 ลง 4.4% และ 2.4% เป็น 52.39 และ 55.39 US$/bbl... เป็นลบต่อ Sentiment หุ้นกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี ซึ่งเราได้ปรับลดมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มนี้ลงเป็น Neutral ก่อนหน้านี้ไปแล้ว
-/• ประเด็นติดตามเดือนมิ.ย. : 1) ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรพ.ค.ศุกร์นี้ ตลาดคาดว่าจะ +185,000 ราย, 2) เลือกตั้งอังกฤษ 8 มิ.ย. เชื่อนางเมย์จะชนะเลือกตั้งแบบไม่ทิ้งห่างคู่แข่งมาก, 3) ประชุมเฟด 13-14 มิ.ย. โอกาสที่ปรับขึ้นยัง >80% ,4) ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี
+ หุ้น BIG, BCPG, FSMART, PTL, THANI จะเข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI Global Small Cap มีผลตั้งแต่สิ้นวันที่ 31 พ.ค.60
+ LHBANK : คาดเพิ่มทุนให้ CTBC สำเร็จในสิ้นก.ค.60 (เพิ่มที่ราคา 2.2 บาท/หุ้น หลังเพิ่มทุน CTBC จะถือหุ้น 35.6%) โดยจะขอก.ล.ต. ไม่ทำเทนเดอร์ฯ ประเมิน BV/S หลังเพิ่มทุนเพิ่มเป็น 1.77 บาท/หุ้น (จาก 1.53 บาท/หุ้นก่อนเพิ่มทุน) และมีโอกาสเติบโตได้มากขึ้นจากฐานเงินทุนที่ใหญ่ขึ้น เชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 2 บาท
สำหรับหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น LHBANK
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดทรงค่อนไปทางลบเล็กๆ จากการที่ทดสอบระดับ 1570 ไปหลายรอบแล้วไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือได้ บวกต่อมีแนวต้าน 1575-1580 ต่ำกว่า 1560 ลดพอร์ตตาม โดยเฉพาะพอร์ตที่มีหุ้นมากและเงินสดเหลืออยู่น้อย หุ้น New High ที่เข้ามาใหม่เป็น ANAN, ASIAN, HANA, BRR
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• สหรัฐ : ราคาบ้านทั่วประเทศมี.ค. +5.8%YoY สูงสุดในรอบ 33 เดือน...หนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้
# ผลสำรวจของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.8% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 33 เดือน
# การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเดือนเม.ย. +0.4%MoM เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
# ความเห็น DBSV Retail Research : ราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และการจ้างงานที่บรรลุเป้าหมายของเฟดแล้ว ทำให้มีโอกาสสูงที่คณะกรรมการ FOMC จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
• สหรัฐ : ติดตามตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรวันพฤหัสและศุกร์นี้
# ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ค.ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่ง ส่วน ADP และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ จะเปิดเผยตัวลขจ้างงานของภาคเอกชนทั่วสหรัฐประจำเดือนพ.ค.ในวันพฤหัสนี้
+ ญี่ปุ่น : การผลิตภาคอุตสาหกรรมเม.ย.เติบโตดี (+4%MoM)
# ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ขยายตัว 4%MoM โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดการผลิตรถยนต์
# ดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรม +2.7% และดัชนีสต็อกสินค้าคงคลังภาคอุตสาหกรรม +1.5%
+ จีน : ดัชนี PMI ภาคผลิตและบริการออกมาดี
# สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ในเดือนพ.ค.สู่ระดับ 51.2 เท่ากับเดือนเม.ย.
# ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ค. เพิ่มเป็น 54.5 จาก 54 ในเดือนเม.ย.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : หุ้นกลุ่มพลังงานฉุดตลาด
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 21,029.47 จุด ลดลง 50.81 จุด หรือ -0.24% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,412.91 จุด ลดลง 2.91 จุด หรือ -0.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,203.19 จุด ลดลง 7.00 จุด หรือ -0.11% ปัจจัยกดดัน คือ การลดลงของราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งข่าวที่ว่าสหรัฐอาจจะขยายมาตรการห้ามผู้โดยสารพกพาแล็ปท็อปขึ้นเครื่องบินครอบคลุมเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมดที่เข้าและออกจากสหรัฐ ทำให้หุ้นกลุ่มสายการบินร่วง
•/- สัญญาน้ำมันดิบ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย
# โกลด์แมน แซคส์ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTI ในปี 60 เป็น 52.39 จาก 54.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT เป็น 55.39 จาก 56.76 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะกังวลการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นของสหรัฐ
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 49.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ลดลง 45 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 51.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาทองคำ : ลดลงต่อ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 5.7 ดอลลาร์ หรือ 0.45% ปิดที่ระดับ 1,265.70 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนคาดว่าตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐที่จะประกาศพฤหัสและศุกร์นี้จะออกมาดี ทำให้โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 14 มิ.ย.นี้ยังคงสูง ด้าน CME Group FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 83.1%
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
+ LHBANK (ราคาปิด 1.82 บาท) : การเพิ่มทุน PP ให้ CTBC ไต้หวันจะแล้วเสร็จสิ้นก.ค.นี้
# ธนาคารระบุว่าการจ่ายเงินเพิ่มทุนของ CTBC ไต้หวันมูลค่า 1.65 หมื่นล้านบาท (7,545 ล้านหุ้น @ 2.2 บาท/หุ้น) จะแล้วเสร็จ 31 ก.ค.60 โดย CTBC จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 35.61% ในธนาคาร ซึ่งจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติ 12 ก.ค.นี้ ทั้งนี้ดีลนี้จะขอก.ล.ต.ยกเว้นการทำเทนเดอร์ฯ
# หลังเพิ่มทุนฐานเงินทุนธนาคารจะเพิ่มเป็น 3.4 หมื่นล้านบาท โดยเงินกองทุนขั้นที่ 1 จะเพิ่มเป็น 20.1% (ปัจจุบัน 10.4%) นับว่าแข็งแกร่งมาก เงินกองทุนที่เพิ่มทำให้สามารถขยายสินเชื่อได้มากขึ้น ปี 60 คาดสินเชื่อโตเป็นเลขหลักเดียว (ช่วง 4M60 โต 2-3%) ส่วนปี 61 ตั้งเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อไว้ที่ 10% และปี 62 มากกว่า 10% เพราะบริหารเทรดไฟแนนซ์แล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้ปลายปี 61
# ธนาคารมีลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ 65%, SME 14%, ที่พักอาศัย 18-19% (ซึ่งลดลงจาก 5 ปีก่อนที่ 50%) ส่วน NPL ratio อยู่ที่ 1.89% ในสิ้นมี.ค.60 และมี Coverage ratio ในเป้าหมายที่ 111-115%
# ณ สิ้นมี.ค.60 ธนาคารมี Book Value เท่ากับ 1.53 บาท/หุ้น หลังเพิ่มทุนให้ CTBC แล้วเสร็จจะเพิ่มเป็น 1.77 บาท/หุ้น ณ ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 1.82 บาท ซื้อขายที่ P/BV หลังเพิ่มทุน 1.03 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.2 เท่า ในเชิงกลยุทธ์ ถ้าให้เป้าหมาย P/BV ที่ 1.1 เท่า (ซึ่งต่ำกว่าอุตสาหกรรม) ก็จะได้ราคาหุ้น 2 บาท มี Upside 10% จากราคาปิดวานนี้
+ ครม.อนุมัติผลคัดเลือกและร่างสัญญาโครงการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองเมื่อวานนี้
# เมื่อ 30 พ.ค.60 ครม.อนุมัติผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน (PPP Net Cost) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 53.5 พันล้านบาท และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 51.9 พันล้านบาท ของรฟม. โดย 2 โครงการนี้จะเป็นรถไฟฟ้าแบบโมโนเรล ซึ่งผู้ชนะการประมูลคือ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture:BSR JV) ประกอบด้วย BTS (ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 9.38 บาท), RATCH (ราคาพื้นฐาน 54 บาท) และ STEC (ราคาพื้นฐาน 30 บาท)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]