- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 31 May 2017 17:36
- Hits: 1544
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
ความเสี่ยงทางการเมืองโลกถ่วง แต่เศรษฐกิจและกำไรหนุน
คาดหุ้นไทยปรับตัวลง การเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องเกาหลีเหนือ ความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรป และสหรัฐที่กำลังมีการสอบสวนการหาเสียงของ Trump กำลังกดดันตลาด ราคาน้ำมันที่ร่วงลงเพิ่มปัจจัยลบอีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมั่นใจในตัวเลขเศรษฐกิจ และผลประกอบการจากสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และแม้แต่ของไทยเอง ปัจจัยภายในประเทศการพบระเบิดอีกเมื่อวานเป็นสัญญาณไม่ดีต่อความเชื่อมั่นโดยรวมไม่ใช่แค่เฉพาะในตลาด ครม.อนุมัติรถไฟสายสีชมพูและเหลือง เป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการ และผู้รับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง
หุ้นเด่นวันนี้ : TASCO (ราคาปิด 23.30 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 33.00 บาท)
TASCO ได้ประโยชน์หากน้ำมันมิทิศทางอ่อนตัว เนื่องจากต้นทุนเกินกว่า 80% เป็นน้ำมันดิบ นอกจากนี้เราก็เชื่อว่าดีมานด์ยางมะตอยมีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากการใช้ภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ สำหรับการสร้างและการซ่อมแซมถนน โดยเฉพาะประเทศจีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของ TASCO ขณะที่การส่งออกไปอินเดียยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เราคาดการณ์ปริมาณการขายในไตรมาส 2/60 ไว้ที่ 560,000 ตัน ซึ่งสูงกว่า530,000 ตันในไตรมาส 1/60 แม้ราคายางมะตอยในไตรมาส 2/60 ไม่สูงเท่าไตรมาส 1/60 แต่อุตสาหกรรมยางมะตอยมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ระดับต่ำ โดยปีนี้ราคาน้ำมันดิบแกว่งตัวในกรอบแคบกว่าทุกปีคือที่ 45-55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเราเชื่อว่าสถานการณ์แบบนี้ เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจที่ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบในการผลิต
เรายังคงให้ราคาเป้าหมายที่ 33.00 บาทซึ่งอิงกับ PER เฉลี่ยที่ PER 13.5 เท่าของอุตสาหกรรมก่อสร้างในภูมิภาค ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside 41% จากราคาเป้าหมาย การที่ราคาปรับตัวลงมา 18% จากระดับสูงสุดของปีที่ 28.50 บาท เนื่องจากกำไรไตรมาส 1/60 ไม่เติบโตสูงอย่างที่ตลาดคาดหวังไว้ และราคายางมะตอยอ่อนตัวลงในไตรมาส 2/60 คาดว่าราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมารับข่าวร้ายไปแล้ว แต่กำไรทั้งปีของ TASCO ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เราคาดว่า TASCO จะมีกำไรเติบโต 17% YoY และ 13% YoY ในปี 2560 และ 2561 ตามลำดับ ด้วยราคาน้ำมันที่ผันผวนน้อย คาดว่า TASCO ยังมีสเปรดของยางมะตอยกับน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องไปทั้งในไตรมาส 2/60 และ 3/60 Price Pattern ของ TASCO กลับมาเกิดความแข็งแกร่งในระยะสั้น จากการเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ โดยเมื่อวัดจากระดับปิดสูงสุดของรอบที่ผ่านมาอยู่ที่ 43.25 บาท และระดับปิดต่ำสุดของรอบที่ผ่านมาอยู่ที่ 16 บาท ทำให้การ Rebound ของ TASCO รอบนี้มีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 26.25 บาท ทั้งนี้ TASCO มีจุด Stop Loss ระยะสั้นรอบนี้อยู่ที่ 22.80 บาท (Resistance: 23.40, 23.70, 24.10; Support: 23.10, 22.80, 22.40)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
นำสองทางด่วนเข้า TFF เป็นล็อตแรก ครม. วานนี้เห็นชอบให้ กทพ. นาทางด่วนสองเส้นระดมทุนผ่านการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย(TFF) นำร่องขายก่อนเป็นล็อตแรก ซึ่งน่าจะยื่นเอกสารให้ ก.ล.ต. พิจารณาภายในไตรมาส 3 ปีนี้ (Bangkok Post) ความเห็น: รัฐบาลไทยมุ่งเน้นการลงทุนของรัฐและเอกชนด้วยเป้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 ล้าน ลบ. เชื่อมการคมนาคมทางทะเล-อากาศภาคพื้นดิน-ระบบรางกับการพัฒนา GDP ประเทศให้เกิน 3-4% ต่อปี
ครม.อนุมัติผลการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สายสีเหลืองของ รฟม. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน (PPP Net Cost) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดย 2 โครงการนี้จะเป็นรถไฟฟ้าแบบโมโนเรล ซึ่งผู้ชนะการประมูลคือ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture:BSR JV) ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS), บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) (ที่มา: อินโฟเควสท์)ความเห็น: เรื่องดังกล่าวเป็นปัจจัยส่งผลบวกทางด้าน Sentiment ให้กับ 4 บริษัท ได้แก่ BTS, RATCH, STEC และ BLAND (เนื่องจากจะได้ทำส่วนต่อขยายเข้าไปในโครงการของ BLAND) อย่างไรก็ตาม BSR JV เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่เสนอประมูลงานนี้ ไม่มีคู่แข่งรายอื่นเข้าประมูลสู้ ทำให้เรากังวลเรื่องต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาวของกลุ่มนี้ แต่เรายังมองว่า STEC (ราคาปิด 26.25 บาท แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 26 บาท) จะได้รับประโยชน์จากการบันทึก Backlog งานก่อสร้าง (Civil Work) โครงการนี้เข้าไป ราว 42,000 ล้านบาท น่าจะเป็น Main Operator เรื่องงานก่อสร้าง ส่วน BLAND จะต้องมีการลงทุนเพิ่มในส่วนต่อขยาย 3,000 ล้านบาท โดยจ่ายเงินคนละครึ่งกับ BSR โดยรถไฟฟ้าส่วนที่จะมีการต่อขยาย จะต้องมีการนำเสนอ ครม. ให้เห็นชอบอีกครั้ง แต่เราก็เชื่อว่าจะได้รับการอนุมัติในที่สุด ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ในการขายพื้นที่และโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ BLAND รวมทั้งอาจจะต้องจ่ายภาษีที่ดินเพิ่มหากมีการเรียกเก็บด้วย
พบไปป์บอมบ์อีกแล้ว เมื่อบ่ายวานนี้ ที่ใกล้ถนนรัชดาภิเษกและสถานีรถไฟใต้ดินศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่ รพ.พระมงกุฎฯ เมื่อวันที่ 22 สร้างความกังวลต่อประชาชนว่าเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต (Bangkok Post)
ธปท.เล็งออกมาตรการดูแลบาท ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าพร้อมใช้มาตรการดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ จากปัจจัยต่างประเทศประกอบกับเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกเติบโตสูงเร่งให้มีเงินทุนไหลเข้าไทย อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นไม่น่ากังวล (เดลินิวส์)
ยอดใช้มือถือพุ่ง 120 ล้านเบอร์ กสทช. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สำนักงาน กสทช.ได้จัดสรรเลขหมายโทรคมนาคมจำนวน 170 ล้านเลขหมาย ทำให้ปัจจุบันมีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือประมาณ 120 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นผู้ใช้งานในระบบ 3G 70%, 4G 25% ส่วนอีก 5% เป็นผู้ใช้งานในระบบ 2G และคาดว่าจะยุติการให้บริการระบบ 2G เร็วๆ นี้ (แนวหน้า) ความเห็น: ยอดใช้มือถือที่เติบโตดีหนุนโอกาสโตของธุรกิจการให้บริการมือถือ อย่างไรก็ดี ค่ายมือถือจะต้องสามารถแปลงการเติบโตนี้ให้เป็นตัวเงินได้ถึงจะหนุนกำไร อนึ่ง การยุติ 2G จะช่วยให้ค่ายมือถือลดต้นทุนดำเนินการได้
LHBANk (ราคาปิด 1.82 บาท) คาดว่าการเสนอขายหุ้นต่อบุคคลในวงจำกัด (Private placement) แก่ธนาคาร CTBC จะแล้วเสร็จได้ในเดือน ก.ค.นี้ โดยที่ LHBANK จะเสนอขายหุ้นจำนวน 7.54 พันล้านหุ้น ที่ราคา 2.20 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 1.66 หมื่นล้านบาท ทำให้ CTBC จะมีสัดส่วนถือหุ้นที่ 35.6% (Bangkok Post)
ต่างประเทศ :
สหรัฐและจีนกำลังหารือกันว่าเมื่อไหร่ที่จะผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดำเนินการเกี่ยวกับเกาหลีเหนือและน่าจะตกลงกันได้ภายในสัปดาห์นี้ จากการเปิดเผยของนิกกี ฮาเลย์ ทูตสหรัฐฯ ประจาองค์การสหประชาชาติเมื่อวันอังคาร (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวันอังคาร เนื่องจากนักลงทุนกลับมาระมัดระวังจากความกังวลทางการเมืองในยุโรปและภาวะชะงักงันทางการเมืองสหรัฐเกี่ยวกับการสอบสวนความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับรัสเซีย ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 110.665 เยน และล่าสุดเทรดอยู่ที่ 110.85 เยน เงินยูโรกลับมาฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดของวันอังคารที่ 1.1110 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 1.1176 ดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งก่อนกำหนดในอิตาลีและตัวเลขเงินเฟ้อของเยอรมนีที่อ่อนตัวกว่าที่คาด ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.396 จากที่ปรับตัวขึ้นมากตลอดในสัปดาห์นี้ (Reuters)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่วนมากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์เมื่อวันอังคาร หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐทำให้นักลงทุนมีความไม่แน่ใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกมากกว่า 1 ครั้งในปีนี้หรือไม่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระหว่างอายุ 3 ปี และ 30 ปีลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 12 วัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปี แตะระดับ 2.21% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีแตะที่ระดับ 2.881% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอยู่ที่ระดับ 1.432% (Reuters)
มีสัญญาณขัดแย้ง ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อทำให้นักลงทุนเป็นกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดหลังเดือนมิ.ย. ปีนี้ แต่ไม่ได้เปลี่ยนการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า โดยนักลงทุนมองว่ามีโอกาสราว 89% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าเทียบกับเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่คาดว่ามีโอกาส 88% จากข้อมูลของ CME Group,s FedWatch (Reuters)
สหรัฐ :
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันอังคาร โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงเล็กน้อยจากที่ปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เนื่องจากนักลงทุนมีความหวั่นไหวต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐและยุโรป แต่นักลงทุนไม่เป็นกังวลต่อเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทต่าง ๆ หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงินที่ปรับตัวลงบดบังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น (Reuters)
การใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 เดือนในเดือนเม.ย. โดยปรับตัวขึ้น 0.4% MoM หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. เนื่องจากภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของสินค้าและบริการ การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่เดือนธ.ค. ที่ผ่านมาและความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับการขยายตัวของ GDP ไตรมาส 2/60 หลังจากมีรายงานตัวเลขที่ลดลงของคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ยอดการดุลการค้าและการลงทุนในรูปสินค้าคงเหลือ ทั้งนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบกว่า 7 ปีในไตรมาส 1/60 ซึ่งจำกัดการเพิ่มขึ้นของ GDP โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 1.2%YoY ในไตรมาส 1/60 (Reuters)
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับสูง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือน พ.ค. อยู่ที่ 117.9 จุด ลดลงจาก 119.4 จุดในเดือน เม.ย. อย่างไรก็ตามดัชนีดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับสูงหนุนโดยตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง (Reuters)
เงินเฟ้อลดลงเล็กน้อย ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 0.2% MoM ในเดือนเม.ย. หลังจากที่ลดลง 0.1% MoM ในเดือน มี.ค. อย่างไรก็ตาม ดัชนีการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน 12 เดือนถึงเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้น 1.5% YoY นับว่าเป็นการปรับตัวขึ้นที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 58 เทียบกับการปรับขึ้น 1.6% ในเดือน มี.ค. และดัชนีพื้นฐานดังกล่าวยังอยู่ต่ำกว่าเป้าของธนาคารกลางที่ 2% (Reuters)
รายได้ส่วนบุคคลปรับขึ้น 0.4% ในเดือน เม.ย.เนื่องจากค่าแรงที่ขึ้น 0.7% ขณะที่ เงินฝากเดือนที่แล้วแทบไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 7.59 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างที่ ราคาบ้านเดือน มี.ค.ปรับขึ้น 5.9% YoY (Reuters)
ยุโรป :
หุ้นยุโรปร่วงวันอังคาร ซึ่งปรับตัวลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ถูกฉุดโดยหุ้นกลุ่มธนาคารเนื่องจากสถานการณ์ไม่แน่นอนทางการเมืองและการปรับคำแนะนำลงของบางโบรกเกอร์ โดยดอยซ์แบงก์ปรับคำแนะนำธนาคารยุโรปลงเป็นลดน้ำหนักการลงทุน และแนะนำนักลงทุนให้ขายทำกำไรหลังจากที่หุ้นกลุ่มนี้ได้ปรับขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปีที่แล้ว ขณะที่ เจ.พี. มอร์แกนปรับลดคำแนะนำกลุ่มยานยนต์ลงเป็นกลาง เนื่องจากชื่นชอบหุ้นที่ไม่หวือหวามากกว่า เช่น กลุ่มโทรคมนาคมและกลุ่มสาธารณูปโภค (Reuters)
หุ้นยุโรป ณ ปัจจุบันซื้อขายกันที่ PE 15.5 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย PE ในอดีตที่ 14 เท่า อิงจากข้อมูล Thomson Reuters (Reuters)
เอเชีย :
ผลผลิตโรงงานของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือนเมษายน เทียบกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดเพิ่มขึ้น 4.3% และดีขึ้นกว่าเดือนมีนาคมที่ลดลง 1.9% เป็นอัตราการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 6 ปีนับตั้งแต่ มิ.ย.2554 ที่เพิ่มขึ้น 4.2% เป็นสัญญาณบ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจ (Reuters)
การใช้จ่ายของครัวเรือนในญี่ปุ่นลดลง 1.4%YoY ในเดือนเมษายน เป็นการลดลงที่เกินคาดจากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 0.7% เนื่องจากการใช้จ่ายรถยนต์และการศึกษาลดลง (Reuters)
ความต้องการแรงงานในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 40 ปี โดยคาดหวังว่าตลาดแรงงานที่ตึงตัวจากความต้องการการจ้างงานสูงกว่าผู้สมัครงาน ในที่สุดจะกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค อัตราส่วนจ้างงานต่อผู้สมัครเพิ่มขึ้นเป็น 1.48 ในเดือนเมษายนจาก 1.45 ในเดือนมีนาคม ขณะที่ความต้องการแรงงานครั้งล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 มีค่าเท่ากับ 1.53 (Reuters)
การเติบโตของภาคการผลิตของจีนในเดือนพฤษภาคม ดัชนี PMl ในเดือน พ. ค. อยู่ที่ระดับ 51.2 จุดเทียบกับ 51.2 ในเดือนเมษายน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 51.0 (Reuters)
การเติบโตของภาคบริการของจีนเริ่มเร่งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมจากเดือนก่อนหน้า ดัชนี PMl ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อย่างเป็นทางการอยู่ที่ 54.5 จุดในเดือนพฤษภาคมเทียบกับ 54.0 ในเดือนเมษายน (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันถอยลดลงวันอังคาร เพราะสัญญาณการกลับมาผลิตน้ำมันเพิ่มของลิเบียและความกังวลว่าการลดการผลิตของผู้ส่งออกหลักอาจไม่พอระบายสต็อกน้ำมันโลกที่ล้นเกินซึ่งทำให้ราคาน้ำมันร่วงต่ำมากว่าสามปี น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าลบ 45 เซนต์ (-0.9%) ปิด 51.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าลบ 14 เซนต์ (-0.3%) ปิด 49.66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
ทองคำอ่อนตัวหลังแตะจุดสูงสุดรอบเดือน เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐชี้ว่า Fed มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเดือนหน้า ทองคำตลาดจรขึ้นไปแตะจุดสูงสุดรอบเดือนก่อนที่จะปิดลบ 0.3% สู่ 1,262.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำสหรัฐล่วงหน้าปิดลบ 0.5% ที่ 1,262.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) Tel: 0-2680-5041
Mr. Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Mrs. Vajiralux Sanglerdsillapachai (No. 17385) Tel: 0-2680-5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) Tel: 0-2680-5056
MISS. Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042