- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 May 2017 18:38
- Hits: 2508
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'ผ่าน&ยืนเหนือ 1550 ได้...ถือต่อ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SIRI (จาก Fully Valued เป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้บวกต่อและมีจังหวะขึ้นไปเหนือ 1550 แต่ระดับปิดยังต่ำกว่า 1550 (ปิดตลาด +1.94 จุดที่ 1548.29) แรงซื้อเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มแบงค์ และมีขายทำกำไรกลุ่มพลังงาน&ปิโตรเคมีที่เพิ่งขึ้นแรงวันก่อนหน้า รวมทั้งมีการเลือกซื้อหุ้นกลาง-เล็กที่มีแนวโน้มกำไรดี&ราคาพักฐานลงมาแล้ว ต่างชาติซื้อสุทธิเพิ่มเป็น 1.2 พันล้านบาท
- ความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐ (ทรัมป์ปลดผอ.FBI ที่กำลังตรวจสอบว่าทรัมป์ให้ข้อมูลรัสเซีย) และผลสำรวจระบุว่าชาวสหรัฐที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง 48% ต้องการให้ปลดทรัมป์ & ทรัมป์เป็นปธน.ใหม่ที่มีคะแนนนิยมน้อยที่สุดนับตั้งแต่เคยสำรวจมา
-/+ ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งแรง เพราะความกังวลเรื่องเมือง ราคาทองคำปรับขึ้นรับเรื่องนี้ และคาดว่าจะมี Flow บางส่วนกลับเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่
+ CME FedWatch ระบุโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 14 มิ.ย.นี้ลดลงเป็น 64.6% จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 87.7% เมื่อ 10 พ.ค.60
+ คาดสมาชิกโอเปกและรัสเซียจะหนุนกการขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันจากกลางปีนี้ไปเป็นสิ้นมี.ค.61...เป็นบวกกับหุ้นน้ำมัน & ปิโตรเคมี
+ KKP & TCAP : มีความโดดเด่นปีนี้ โดย KKP (TP : 70 บาท) มีการเติบโตของสินเชื่อที่ดีขึ้น (+1.3%YTD) NPL ลดลงต่อ ตั้งสำรองฯ น้อยลง มีธุรกิจตลาดทุน (ดำเนินงานโดยภัทร) ที่แข็งแกร่ง จ่ายปันผลสูง (Yield ปีนี้ 6%) ส่วน TCAP (TP : 53 บาท) ยังได้สิทธิประโยชน์ภาษีจากการชำระบัญชี SCIB เงินฝาก CASA เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนการเงินลดลง Non-NII โตดี และ Valuation ต่ำ (P/E 8 เท่า, P/BV 0.9 เท่า)
• สำหรับ GFPT & TISCO ซึ่งเป็นหุ้นเด่นเดือนพ.ค.60 ของเรา ราคาขยับขึ้นมาใกล้เป้าหมายพื้นฐานแล้ว เล่นรอบแนะหาจังหวะขายทำกำไร
หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานดีแนะนำซื้อวันนี้เป็น TCAP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การซื้อใหม่ยังเน้นตามด้วยค่าบวกเป็นสำคัญ แนวต้าน 1550-1560 แนวรับ 1530
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SPRC, LST, BRR, AUCT, TWPC ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ HANA, WORK หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ THANI, SYNTEC, INTUCH, ASIAN หุ้นหลุด List คือ BH
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
- สหรัฐ : มีความขัดแย้งการเมืองเพิ่มขึ้น ชาวสหรัฐเกือบครึ่งต้องการให้ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง
# ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ทำให้มีการมองกันว่าปธน.ทรัมป์กำลังแทรกแซงการทำงานของ FBI และ การที่ทรัมป์สั่งการให้นายโคมีย์ยุติการสอบสวนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างนายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐกับรัฐบาลรัสเซีย ก่อนที่นายโคมีย์จะถูกปลด บ่งชี้ว่าข้อกล่าวหาอาจมีมูลความจริง
# ผลการสำรวจของ Public Policy Polling พบว่าผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงชาวสหรัฐเกือบครึ่งหนึ่งต้องการให้ปธน.ทรัมป์ ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยผู้ถูกสำรวจ 48% สนับสนุนให้ปธน.ทรัมป์ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งขณะที่ 41% คัดค้านการดำเนินการดังกล่าว
# ผลสำรวจของ Gallup ระลุงาส ปธน.ทรัมป์ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีใหม่ทุกคน นับตั้งแต่ที่มีการทำการสำรวจในปี 1953
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : วิตกการเมืองสหรัฐกดดันดัชนีหุ้นร่วงแรง
นักลงทุนวิตกกังวลว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการปฎิรูปภาษีและการลงทุนสาธารณูปโภคของประธานธิบดีทรัมป์ และอาจนำไปสู่การถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ปิดตลาดดัชนี DJIA ลงมาที่ 20,606.93 จุด -372.82 จุด หรือ -1.78% ดัชนี S&P500 ปิด 2,357.03 จุด -43.64 จุด หรือ -1.82% และดัชนี Nasdaq ปิด 6,011.24 จุด -158.63 จุด หรือ -2.57%
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงต่อ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 41 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 49.07 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 56 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 52.21 ดอลลาร์/บาร์เรล สะท้อนรายงานของ EIA ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับรายงานของ API ที่ระบุว่าสต็อกเพิ่ม 0.882 ล้านบาร์เรล
+ สัญญาทองคำ : ปิดพุ่งขึ้น $22.30 เหตุวิตกการเมืองสหรัฐ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 22.30 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ระดับ 1,258.70 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนกลับเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในสหรัฐ
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
- ดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เม.ย.อยู่ที่ 86.4 จาก 87.5 ในมี.ค.60
# ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.อ่อนลง ส.อ.ท.เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนเม.ย.60 อยู่ที่ระดับ 86.4 ปรับตัวลดลงจากระดับ 87.5 ในเดือนมี.ค. ทั้งนี้ดัชนีลดลงเนื่องจากในเดือนเม.ย.มีวันหยุดต่อเนื่อง ผู้ประกอบการกังวลต่อต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงาน การแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยน ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของผู้ประกอบการในพื้นที่
# แต่...ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าขยับขึ้นเล็กน้อย เป็น 100.0 จาก 99.0 ในเดือนมี.ค. หนุนโดยความหวังจากการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐ รวมทั้งการส่งออกของไทยที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง
- กลุ่มยานยนต์&ชิ้นส่วน : ส่งออกรถยนต์เดือนเม.ย. -14.4%YoY ต่ำสุดในรอบ 48 เดือน
# ปริมาณส่งออกเดือนเม.ย.ต่ำสุดในรอบ 48 เดือน ส.อ.ท.เปิดเผยว่าในเดือน เม.ย.60 ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปอยู่ 68,927 คัน -14.37%YoY และต่ำสุดในรอบ 48 เดือน โดยการส่งออกลดลงเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดเอเชียและออสเตรเลีย สำหรับมูลค่าการส่งออก 38,167.16 ล้านบาท -11.41%YoY
# การผลิตต่ำสุดในรอบ 64 เดือน ยอดผลิตรถยนต์เดือนเม.ย.60 อยู่ที่ 120,473 คัน -12.85%YoY ต่ำสุดในรอบ 64 เดือน เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกและเพื่อขายในประเทศลดลง โดยการผลิตเพื่อส่งออกเท่ากับ 65,466 คัน และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 55,007 คัน
+ TCAP (ราคาปิด 47.50 บาท) : เติบโตแกร่งต่อในปี 60
# ทาง DBS Vickers คาดกำไรปี 60 เติบโตได้ 14% (ขณะที่กำไรกลุ่มแบงค์บวกเพียง 1.4%) เพราะยังคงได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการชำระบัญชี SCIB และต้นทุนการเงินที่ต่ำลงจากการมีสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ & กระแสรายวัน (CASA) สูงขึ้น และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ขยายตัวดี รวมถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
# สินเชื่อเช่าซื้อมีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากหดตัวมา 3 ปี ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อปีนี้ 3-5% (เราประมาณการ +4%) โดยคาดว่าสินเชื่อรายใหญ่จะโต 4-5% สินเชื่อบ้านโต 10% ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อทรงตัวใน 1Q60 อย่างไรก็ดีมีโอกาสที่จะเติบโตได้ใน 2H60 หลังจบโครงการรถคันแรกมาพักหนึ่งและมีรถยนต์โมเดลใหม่ๆออกตลาดต่อเนื่อง
# แนะนำซื้อ โดยทาง DBS Vickers ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 53 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ที่ 1.0 เท่า ทั้งนี้ TCAP เป็นหลักทรัพย์ที่มี Valuation ถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารที่เราทำการวิเคราะห์ โดยที่ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปีนี้ 8 เท่า และ P/BV 0.9 เท่า คาดการณ์ Dividend Yield 4.5%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]