- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 May 2017 17:41
- Hits: 850
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : KTC, MC
Our Portfolio May 17 : CPF, GLOBAL, SYNEX, TACC, THANI
เลือกหุ้นเข้าซื้อในช่วงลบ
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET รีบาวด์ขึ้นมาได้ตามคาดในช่วงเช้าโดยปรับตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้านบริเวณ 1550 จุดบวกลบก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาเล็กน้อย โดยยังไร้ปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น รวมถึงคาดว่ายังคงอยู่ในช่วงการปรับพอร์ตของสถาบันในประเทศโดยยังมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ราว 600 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดด้วยเม็ดเงินที่หนาแน่นมากขึ้น
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่าระยะสั้น SET index มีโอกาสปรับตัวลงตามบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบจากความวุ่นวายการเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งกระทบความมั่นคงตำในแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ซึ่งอาจลามไปถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่ตลาดคาดหวัง แต่ในทางกลับกันเราเชื่อว่ากระแสเงินทุนมีโอกาสที่จะไหลกลับเข้ามาในฝั่งเอเชียมากขึ้นจาก Valuation และการเติบโตที่น่าสนใจมากกว่า ขณะที่ตัว SET เองหลังจากที่ผ่านความผิดหวังจากผลประกอบการ 1Q17 เชื่อว่าแรงขายและการปรับพอร์ตใกล้ที่จะสิ้นสุด เราเชื่อว่าน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระยะถัดไปได้ ขณะที่ด้านเทคนิคหลังจากที่ยังไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1550 จุด จึงทำให้ยังมีโอกาสปรับตัวย้อนลงมาอยู่ แต่เรามองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ซื้อเก็งกำไรในช่วงตลาดลบ ระยะกลาง-ยาว รอเลือกหุ้นพื้นฐานดีเข้าซื้อลงทุนตามแนวรับ
แนวรับ 1545-1540 , 1535-1532 จุด
แนวต้าน 1552-1555 , 1560
หุ้นเด่นทางเทคนิค : CENTEL, LPH, DTAC (buyback)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$126ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$ 58ล้าน และไทย US$37ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$15ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลกลับสินทรัพย์ปลอดภัยหลังมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในสหรัฐ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) MGT ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนงบ 1Q17 ที่ออกมาดี กำไรสุทธิ +59%Q-Q และ +11%Y-Y จากการเพิ่มทีมขายและบาทแข็งที่ทำให้ต้นทุนถูกลง แนวโน้มช่วงที่เหลือของปีกำไรจะโตแรงเท่าตัว Y-Y เพราะไม่มีค่าปรับโครงสร้างองค์กรเหมือนปีก่อน และมีการเพิ่มช่องทางขายรวมถึงเพิ่มเคมีภัณฑ์ในกลุ่มอุปโภคบริโภค ราคาปัจจุบันยัง Laggard กลุ่ม ตั้งแต่ต้นปี UKEM และ GIFT ขึ้น 54% และ 41% แต่ MGT ลง 11% จาก IPO ส่วน PE ปีนี้อยู่ที่ 17 เท่า และจะลดเหลือ 14 เท่าปีหน้า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 20 เท่า แนะนำซื้อ
(+) MC เรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อกลยุทธ์การเติบโตทั้งการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าท่อนบนรวมถึงการออกผลิตใหม่ โดยเป็นการ Engage ลูกค้าเดิมและขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของทั้งรายได้และกำไร รวมถึงยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหน้าร้านของตนเองที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนมากขึ้น เราคาดกำไรปกติปี 2017 โต 13.3% Y-Y และประเมินราคาพื้นฐานที่ 21.50 บาท ขณะที่ Dividend Yield ยังน่าสนใจราว 5.4% จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ
(+) KTC ระยะสั้นราคาหุ้น อาจขาดปัจจัยกระตุ้นทางบวก (กำไร 2Q17 ชะลอตามฤดูกาล, ความเสี่ยงจากกฏเกณฑ์การคุมก่อหนี้ครัวเรือนจากภาครัฐ) แต่เรายังคงเชื่อถือความแข็งแกร่งของพื้นฐานที่มีเป้าหมายการเพิ่มยอดการใช้จ่ายเพื่อเตรียมพร้อมสู่การปรับรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมสู่ Digital economy ซึ่งการใช้เงินสดจะลดลง และ KTC จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ นอกจากนี้ KTC มีความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ต่ำที่สุดในกลุ่มโดยพิจารณาจาก NPL ที่ต่ำเพียง 1.7% และ Coverage ratio สูง 500% คงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017 ที่ 2.8 พันลบ. +15%Y-Y คงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาเหมาะสมที่ 168 บาท
(0) CBG ข้อมูลที่ได้รับจากประชุมวานนี้ โทนค่อนข้างบวกจากทั้งการฟื้นตัวของกำลังการผลิต หลังออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้มีต้นทุนลดลงแล้วเสร็จ และธุรกิจรับกระจายสินค้ามีสินค้าใหม่เป็นกลุ่มแอลกอฮอล์จะเริ่มรับรู้รายได้ 2Q17 ในขณะที่เร่งขยายสินค้าเข้าสู่ร้าน Modern Trade ในอังกฤษมากขึ้น อาจทำให้ ICUK คุ้มทุนได้เร็วขึ้น รวมถึงเริ่มส่งออกไปจีนแล้ว แต่ผลประกอบการยังต้องรับรู้ขาดทุน ICUK อีก 1-2 ปี กอปรกับค่าการตลาดที่ยังสูง ส่วนจีน ไม่ต้องรับรู้ขาดทุน เพราะผู้บริหารเข้าลงทุนแทน ยังคาดกำไรปีนี้โต 21% Y-Y และราคาเป้าหมาย 65 บาท Upside จำกัด แนะนำถือ
(-) สถานการณ์การเมืองสหรัฐตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ต้องสะดุดลงและอาจลามไปถึงการถอดถอนออกจากตำแหน่ง (ทั้งนี้สหรัฐยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้มาก่อน) เม็ดเงินไหลกลับสู่สินทรัพย์ปลอดภัยทั้งทองและค่าเงินเยนซึ่งแข็งค่าขึ้น สำหรับตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดไทยเม็ดเงินอาจไหลเข้าได้ในระยะถัดไปเพราะตลาดสหรัฐเริ่มมีความน่าสนใจลดลงจากเหตุการณ์นี้ สำหรับกรณีคุณอนันต์ อัศวโภคิน เป็นปัจจัยส่วนบุคคล แต่อาจมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องบ้างเช่น LH, QH, HMPRO และ LHBANK (มาร์เก็ตแคปรวมกัน ~3 แสนลบ. หรือ 1.9% ของทั้งหมด) ซึ่งเชื่อว่ามีผลต่อภาพรวมตลาดน้อย
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
18 พ.ค. - ญี่ปุ่น:1Q17 GDP (ตลาดคาด +1.8% annualized)
- ฟิลิปปินส์: 1Q17 GDP
- อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI)ประชุม
19 พ.ค. - สิงคโปร์: 1Q17 GDP
23 พ.ค. - ไทย:ยอดขายรถ (เม.ย.)
- ยูโรโซน: ถ้อยแถลงของประธาน ECB
- สหรัฐ: ยอดขายบ้านใหม่ (เม.ย.)
24 พ.ค. - ไทย: กนง.ประชุม (คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.5%)
- ยูโรโซน:Markit Eurozone Composite PMI (พ.ค.)
- สหรัฐ:ยอดขายบ้านเก่า (เม.ย.), FOMC Meeting Minutes
26 พ.ค. - สหรัฐ:GDP1Q17
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดร่วงแรงกว่า 300 จุดหลังนักลงทุนวิตกกังวลต่อการเมืองในสหรัฐฯรวมถึงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ซึ่งอาจลามไปถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดลบค่อนข้างแรงเช่นกันจากประเด็นการเมืองฝั่งสหรัฐฯ ในด้านการแทรกแซงการทำงานของ FBI
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นจากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใสโดยถูกกดดันจากความวุ่นวายทางการเมืองในสหรัฐฯซึ่งอาจลามสู่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยคาดหวัง
(-) ค่าเงินบาทเช้านี้พลิกมาอ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังจากแข็งค่าขึ้นติดต่อกันในช่วง 5 วันก่อนหน้า โดยล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.52
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.41 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 49.07 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯร่วงลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 รวมถึงอานิสงส์บวกจากข่าวที่รัสเซียและซาอุฯเห็นพ้องเรื่องการขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไป
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. พุ่งแรง 22.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,258.70 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยจากประเด็นความวุ่นวายทางการเมืองสหรัฐฯ รวมถึงความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในเดือนหน้าลดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาอ่อนแอ
Contact person : Jitra Amorntham
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research