WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AIRAบล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

ทิศทางตลาด
  มีโอกาสปรับขึ้น? หลังดัชนีปรับลงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกือบ 30 จุด ทำให้คาดมีโอกาสปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ ซึ่ง
  ตอบรับในเชิงบวกต่อทิศทางราคาน้ำมัน ที่คาดยังมีแนวโน้มปรับขึ้น หลังรัสเซีย (ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่) และซาอุดิอาระเบีย (ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่) มีความเห็นตรงกันที่จะขยายระยะเวลาปรับการผลิตจากเดิมครบในเดือนมิ.ย.’60 เป็นมี.ค.’61 เพื่อให้ตลาดน้ำมันดิบเข้าสู่สมดุล ซึ่งคาดส่งผลดีต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันทั้ง Opec และ Non-Opec จะมีการประชุมในวันที่ 25/5/60
       ส่วนประเด็นในประเทศ อยู่ในช่วงวันสุดท้ายของการประกาศงบ แนะระวังแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) รวมถึงการกลับมาขายสุทธิของต่างชาติ ประมาณ 509 ล้านบาท ทำให้โดยรวมอาจทำให้การปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด
  ขณะที่คาดยังมีปัจจัยกดดันจากประเด็นต่างประเทศ (1) ความกังวล ต่อการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุม 13 – 14/6/60 คาดเป็นปัจจัยที่กลับมากดดันภาพรวมตลาดอีกครั้งจนถึงการประชุมในเดือนมิ.ย. และ (2) ความไม่แน่นอนต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะสามารถทำได้ตามแผนที่ประกาศไว้หรือไม่? หลังอาจเกิดความขัดแย้งในสภาคองเกรส จากการปลด ผอ.FBI ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมตลาดมาโดยตลอดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา 
  นอกจากนี้ยังแนะติดตามประเด็นที่สหรัฐฯ ระบุว่าไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศ ที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ล่าสูงสุดในรอบ 3 ปี มูลค่า 18,920 ล้านUSD หรือประมาณ 650,000 ล้านบาท และคาดสหรัฐฯ อาจมีมาตรการตอบโต้ออกมา (เช่น มาตรการด้านภาษี) ภายใน 90 วัน หรือประมาณต้น 3Q/60 โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงประมง เป็นต้น
  ส่วนทางด้านปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลของภาครัฐ ซึ่งส่งผลต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลัง ครม. เห็นชอบประเด็นการปรับร่างทีโออาร์ใหม่สำหรับรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง และแนะให้จัดทำร่าง TOR ใหม่ เสร็จภายใน 3 เดือน คาดมีความเป็นไป ได้ที่จะเปิดประมูลในช่วง 2H/60

SET SET50 SET100
1,537.42     -6.52 980.75     -2.62 2,203.88     -6.07

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
  (+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +85.33, NASDAQ +28.44, S&P +11.42,  FTSE +18.98, CAC +11.98 และ DAX +36.63
โดย Nasdaq และ S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภายใต้ปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับเพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน หลังซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย เห็นพ้องที่จะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึง 1Q/61 เพื่อให้ตลาดน้ำมันดิบทั่วโลกกลับสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง 
  รวมถึงราคาหุ้นกลุ่มบริษัทรักษาความปลอดภัยในระบบไซเบอร์ที่ปรับขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคอมพิวเตอร์ราว 200,000 เครื่องใน 150 ประเทศทั่วโลก
  นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน – พ.ค. ของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 70 ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังผู้สร้างบ้านมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น แม้เผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ เช่น การขาดแคลนแรงงาน และราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้น
  ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$1.01 อยู่ที่US$48.85 ต่อบาร์เรล หลังรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย เห็นพ้องที่จะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงมี.ค.’61 ซึ่งมีเป้าหมายให้ตลาดน้ำมันดิบทั่วโลกกลับสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง 
  โดยรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดนั้น มีกำลังการผลิตรวมกันราว 20 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 5 ของปริมาณการใช้น้ำมันรายวันทั่วโลก
  ขณะที่กลุ่มโอเปก และประเทศนอกกลุ่มโอเปก จะประชุมกันในวันที่ 25/5/60 เพื่อหารือต่อประเด็นดังกล่าว

P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.35 1.86 3.19
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 40,391.14
สถาบัน  -510.01
บัญชีหลักทรัพย์  +64.72
ต่างประเทศ  -508.84
ในประเทศ  +954.12

  ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$2.3 อยู่ที่US$ 1,230.0 ต่อออนซ์ ภายใต้ปัจจัยหนุนจากเงินสหรัฐฯ ที่อ่อนค่า รวมถึงการโจมตีจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งข่าวการทดสอบ
ยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ ส่งผลให้นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
  (-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -509 ล้านบาท สะสม YTD +8,550 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)
  (+) สภาพัฒน์ฯ เปิดเผย GDP – 1Q/60 เพิ่มขึ้น 3.3%yoy และ 1.3%qoq ดีกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.2%yoy และ 1.2%qoqตามลำดับ ขณะที่คาด 2Q/60 เติบโตไม่มาก เนื่องจากฐานที่สูงเมื่อ 2Q/59 อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้ดี
อีกครั้ง ในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งคาดทำให้ GDP ปี’60 เติบโตได้ในระดับ 3.5% ตามเป้าหมายของสภาพัฒน์ฯ

ประเด็นที่ต้องติดตาม 16 - 19 พ.ค. 2560 
16/5/60   สหรัฐฯ เปิดเผย
   ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้าง - เม.ย.
   ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนเม.ย. 

17/5/60   สหรัฐฯ เปิดเผย
   สต็อกน้ำมัน

18/5/60   สหรัฐฯ เปิดเผย
   ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
   ดัชนีกิจกรรมการผลิตเขตมิด-แอตแลนติก - พ.ค. 
   ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนเม.ย. 

19/5/60   ไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ

และยังแนะจับตา
  (1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ CBG เป็นต้น
  (2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
  (3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
  (4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
  (5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ เป็นต้น
  (6) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ IRPC, TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น 
  (7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK  
  (8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AAV, AOT

  ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัว อยู่ที่ 2.34% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) 
  ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.02 อยู่ที่ 10.42

  หุ้นแนะนำ : SPA

 นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์      โทร .02-684-8788

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!