- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 11 May 2017 18:26
- Hits: 8731
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
คาดยังอยู่ในกรอบแคบ? ภายใต้การเคลื่อนไหวที่ยังมีความผันผวนตามตลาดต่างประเทศที่ไร้ทิศทาง มีทั้ง +/- หลังตลาดส่วนใหญ่ตอบรับผลการเลือกตั้งของฝรั่งเศสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7/5/60) แต่คาดมีปัจจัยกดดันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ปลด ผอ. FBI และอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นความกังวลต่อการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุม 13 – 14/6/60 หลังล่าสุดเจ้าหน้าที่เฟดอย่างน้อย 2 ราย ออกมาส่งสัญญาณอีกครั้ง และคาดเป็นปัจจัยที่กลับมากดดันภาพรวมตลาดอีกครั้งจนถึงการประชุมในเดือนมิ.ย.
ทางด้านประเด็นในประเทศ ภาพรวมยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ แต่อย่างไร
ก็ตาม คาดยังได้รับปัจจัยบวกเข้ามาบ้างจาก (1) ราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว ที่อาจทำให้มีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในกลุ่มพลังงาน แม้ภาพรวมคาดราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลต่อปริมาณ Supply ในตลาดโลก แต่อาจถูกชดเชยจากประเด็นที่คาดว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันทั้งโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก อาจพิจารณาขยายระยะเวลาในการปรับลดปริมาณผลิตออกไปอีก 9 เดือน หรือมากกว่า จากเดิมจะครบในเดือนมิ.ย.’60 และ (2) Fund Flow หลังต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ อย่างไรก็ตามคาดยังมีความผันผวน แนะติดตามค่าเงิน ล่าสุดเช้านี้ยังอ่อนค่าลง อยู่ที่ 34.79 – 34.81 บาท
และยังอยู่ในช่วงการทยอยประกาศผลการดำเนินงาน จนถึงต้นสัปดาห์หน้า แนะระวังแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) หลังช่วงการประกาศงบฯ
และยังแนะติดตามประเด็นที่สหรัฐฯ ระบุว่าไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศ ที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ล่าสูงสุดในรอบ 3 ปี มูลค่า 18,920 ล้านUSD หรือประมาณ 650,000 ล้านบาท และคาดสหรัฐฯ อาจมีมาตรการตอบโต้ออกมา (เช่น มาตรการด้านภาษี) ภายใน 90 วัน โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงประมง เป็นต้น
ส่วนทางด้านปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลของภาครัฐ ซึ่งส่งผลต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลัง ครม. เห็นชอบประเด็นการปรับร่างทีโออาร์ใหม่สำหรับรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง และแนะให้จัดทำร่าง TOR ใหม่ เสร็จภายใน 3 เดือน คาดมีความเป็นไป ได้ที่จะเปิดประมูลในช่วง 2H/60
SET SET50 SET100
1,560.31 -7.71 993.46 -3.10 2,233.55 -10.08
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-/+) ตลาดต่างประเทศ DJIA -32.67, NASDAQ +8.56, S&P +2.71, FTSE +43.03, CAC +2.45 และ DAX +8.34
หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปลดนายเจมส์ โคมีย์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ รวมถึงอาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยกดดันจากประธานเฟด สาขาบอสตัน ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ และเรียกร้องให้เฟดเริ่มพิจารณาการปรับลดงบดุลบัญชีของเฟด หลังที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งหน้า โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch พบว่า มีโอกาสสูงถึง 83.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า (13 – 14/6/60)
อย่างไรก็ตาม Nasdaq ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 4 หลังบริษัทจดทะเบียนเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เช่น นิวส์ คอร์ป และไมแลนด์ เอ็นวี เป็นต้น
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยบวกหลังประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ
ยูโรโซนได้ลดลงแล้ว พร้อมระบุว่า ECB ยังไม่ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่ยังจับตารัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของนายเอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีคนใหม่ โดยเฉพาะบททดสอบอีกครั้งในการเลือกตั้งรัฐสภาฝรั่งเศสซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนหน้า
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.97 1.92 3.14
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 43,196.83
สถาบัน -603.68
บัญชีหลักทรัพย์ 369.78
ต่างประเทศ 385.98
ในประเทศ -152.07
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$1.45 อยู่ที่US$47.33 ต่อบาร์เรล หลัง EIA เปิดเผย สต็อกน้ำมันดิบ ล่าสุดลดลง 5.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล รวมถึงได้รับปัจจัยบวก (1) ซาอุดิอาระเบีย จะปรับลดปริมาณน้ำมันที่จะจัดส่งแก่ภูมิภาคเอเชีย ประมาณ 7 ล้านบาร์เรล ในเดือนมิ.ย.’60 ตามข้อตกลงของโอเปกในการปรับลดกำลังการผลิต และ (2) โอเปกกำลังพิจารณาที่จะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีก 9 เดือน หรือมากกว่า จากกำหนดเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.’60 เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวลงในช่วง 1Q/61 จากอุปสงค์ที่อ่อนแอ
โดยกลุ่มโอเปก และประเทศนอกกลุ่มโอเปก จะประชุมกันในวันที่ 25/5/60 เพื่อหารือต่อประเด็นดังกล่าว
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$2.8 อยู่ที่
US$ 1,218.9 ต่อออนซ์ หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปลดนายเจมส์ โคมีย์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +386 ล้านบาท สะสม YTD +5,942 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 11 - 12 พ.ค. 2560
11/5/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย.
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
12/5/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย.
ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนพ.ค.
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชน
ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ IRPC, TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AAV, AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.01 อยู่ที่ 2.41%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.25 อยู่ที่ 10.21
หุ้นแนะนำ : LIT
หุ้นแนะนำ
LIT : ราคาเป้าหมาย (ปี 2560) 15.30 บาท
LIT มีลูกค้าหลักเป็น SME ที่รับงานรัฐ และมีผลิตภัณฑ์รองรับความต้องลูกค้าทุกขั้นตอน ตั้งแต่ (1) Bid Bond สำหรับเริ่มการประมูล (2) Project Finance/Trade Finance หลังชนะการประมูล เพื่อซื้อสินค้ามาทำงาน และ (3) สินเชื่อ Factoring รองรับความต้องการเงินทุนหลังส่งมอบงานให้รัฐ ซึ่ง LIT สามารถสร้าง Value Add ได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายของ Supply Chain
แนวโน้ม 1Q/60 เติบโตต่อเนื่อง จากการปล่อยกู้ 3 โครงการ ในช่วงต้นปี มูลค่ารวม 231 ล้านบาท ได้แก่ (1) โครงการซื้อรถขุด มูลค่า 135 ล้านบาท (2) โครงการสนามบินอุดรธานี มูลค่า 20 ล้านบาท และ (3) โครงการลงทุนด้าน IT ของสำนักงานศาลยุติธรรมมูลค่า 76 ล้านบาท
คาดกำไรสุทธิปี’60 ที่ 144 ล้านบาท เติบโต 43% จาก (1)โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ (2) การเข้มงวดสินเชื่อของธนาคาร โดยเฉพาะสินเชื่อ SME ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมายของ LIT รวมถึงการประมูลงานภาครัฐที่เปลี่ยนจาก E-Auction เป็น E-Bidding ช่วยให้ SME มีโอกาสได้งานรัฐมากขึ้น (3) การปรับ Product MIX หันไปเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อกลางน้ำที่ให้ Yield สูงกว่า เช่น Project Finance ให้ Yield เฉลี่ย 16 - 18%ต่อปี สูงกว่าสินเชื่อต้นน้ำ เช่น Factoring ซึ่งให้ Yield เฉลี่ยเพียง 10 - 14% และ (4) ต้นทุนการเงิน (CoF) ปรับตัวลดลงหลังออก LIT-W1 นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้น
ประเมินราคาเป้าหมายปี’60 ที่ 15.30 บาท
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788