- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 09 May 2017 18:18
- Hits: 2554
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ปัจจัยแวดล้อมเช้านี้มีน้ำหนักไปทางบวก เริ่มจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้น ความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรม แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากาปรับตัวขึ้นของ SET Index ยังมีกรอบที่จำกัด กลยุทธ์วันนี้แนะนำ Trading ในกลุ่มรับเหมาฯ ที่โดดเด่นเช่น STEC, UNIQ และ SYNTEC ส่วนหุ้น Top Pick ยังเป็น BJC(FV@B57) เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว ยังมีโอกาสที่จะถูกนำเข้าคำนวณ SET50 และ SET100
ผ่านพ้นการเลือกตั้งฝรั่งเศส หันมาให้น้ำหนักเรื่องการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อ
ตลาดหุ้นและตลาดการเงินโลกคลายความกังวลจากผลการเลือกตั้งฝรั่งเศส หลังจากนายเอ็มมานูเอล มาครง(สายกลาง) ชนะการเลือกตั้งนางมารีน เลอแปน (ขวาจัดซึ่งมีแนวคิดพาฝรั่งเศสออกจายุโรป) ปิดโอกาสฝรั่งเศสที่จะออกจากสหภาพยุโรป สะท้อนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ขึ้นทำ new high อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดดหุ้นโลกรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปล่วงหน้ามากแล้ว จึงทให้เห้นการปรับขึ้นที่ไม่มากนัก
สำหรับประเด็นที่ต้องให้น้ำหนักต่อไป คือ การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ สะท้อนจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ในเดือน มี.ค.60 และคาดว่าจะขึ้นอีกอย่างน้อย 2 ครั้งจากการประชุมที่เหลืออีก 5 ครั้ง ประกอบกับมีแผนจะทยอยเริ่มลดงบดุล (Balance Sheet) ซึ่งคาดว่าจะเกิดในปีนี้ หลังจากที่ก่อนหน้าในปี 2553-2557 ที่อัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านการซื้อพันธบัตร (QE) ถึง 3 รอบ วงเงินรวมกว่า 3.92 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับใน ยุโรป แม้ยังคงวงเงิน QE แต่เป็นการปรับลดเหลือเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโรมีผล เม.ย. 2560 จนถึง ธ.ค. 2560 (จากเดิมอยู่ที่ 8 หมื่นล้านยูโร) และมีแนวโน้มที่จะไม่ขยายระยะเวลาต่อในปี 2561 หลังจากเศรษฐกิจในยุโรปมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ได้ว่าสภาพคล่องของประเทศทั่วโลกในระยะยาวน่าจะลักษณะทรงตัวหรือลดลง หลังจากที่ประเทศหลักๆดังกล่าว เริ่มถอนเงินออกจากระบบ
ทั้งนี้ตัวชี้วัดสภาพคล่องในระบบ พิจารณาได้จากปริมาณเงินในระบบหรือ Money supply (M2) พบว่าในงวด1Q60 ในประเทศพัฒนาแล้วเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลง สะท้อนจาก (M2) ในสหรัฐ ล่าสุดเดือน มี.ค.60 หดตัว 0.13%mom จาก 0.1%mom ในเดือน ก.พ. เช่นเดียวกับใน ยุโรป (M2) เดือน มี.ค. ขยายตัว 0.5%mom ชะลอจากที่เพิ่ม 0.6%mom เดือน ก.พ. ขณะที่ประเทศแถบเอเซีย พบว่าญี่ปุ่น (M2) เดือน มี.ค.ทรงตัวที่ 0.5%mom จากติดลบ 0.31% ก.พ. สวนทางกับประเทศในอาเซียนที่ M2 ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะว่าธนาคารกลางหลายแห่งยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง ประกอบกับการที่มีเม็ดเงินไหลเข้าในช่องทางต่างๆ สะท้อนจาก อินโดนีเซีย (M2) เพิ่มขึ้น 2%mom จาก 0.2%mom เดือน ก.พ. ตามด้วยไทย เพิ่มขึ้น 1.5%mom จาก 1.15%mom , และมาเลเซีย เพิ่ม 1.14%mom จาก 0.1%mom
ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างภาครัฐ ปลุกกระแสกลุ่มรับเหมาฯ อีกครั้ง
กระแสการลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาเชื่อว่าจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง โดยวันนี้ให้น้ำหนักการประชุม ครม. ซึ่งน่าจะมีการพิจารณาอนุมัติการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง-ลาดพร้าว-สำโรง วงเงินรวมราว 1.1 แสนล้านบาท ประกอบกับในช่วงปลายสัปดาห์น่าจะได้เห็นความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีชันธ์ ระยะทาง 84 กม. ราคากลาง 7,340.47 ล้านบาท หลังจากที่ได้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ร่างทีโออาร์ในรอบที่ 3 เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการคำนวณราคากลางผิดพลาดไป 1 แสนบาท ส่งผลให้การประมูลด้วยวิธีการเคราะราคาแบบ e-Auction ต้องล่าช้าไปอีก 6 วัน เป็น 27 ก.ค. จากเดิม 21 ก.ค.
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากร่างทีโออาร์ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบ จากนี้ไปจะเห็นความคืบหน้าของงานประมูลรถไฟทางคู่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ทีโออาร์ของรถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์เป็นต้นแบบ ซึ่ง ร.ฟ.ท. ตั้งเป้าจะผลักดัน TOR รถไฟทางคู่ที่เหลืออีก 4 เส้นทาง ได้แก่เส้นทาง ลพบุรี-ปากน้ำโพ เส้นทางมาบกะเบา-ถนนจิระ เส้นทางนครปฐม-หัวหิน และเส้นทางประจวบ-ชุมพร ออกมาให้ได้สัปดาห์ละ 1 เส้นทาง และน่าจะเป็นการจุดกระแสให้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างกลับมาเป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง ซึ่งบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อย่าง ITD, CK, STEC และ UNIQ ยังคงมีความได้เปรียบกว่าบริษัทรับเหมารายอื่น แม้ว่าผู้รับเหมารายกลาง-เล็ก จะมีโอกาสสอดแทรกเข้ามา แต่ด้วยประสบการณ์และฐานเงินทุนที่มีความพร้อม น่าจะทำให้ผู้รับเหมารายใหญ่ดังกล่าวมีความได้เปรียบมากกว่า โดยฝ่ายวิจัยยังแนะนำ STEC ([email protected]) ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากมีสถานะเป็น Net Cash ขณะที่ UNIQ (FV@B25) มีความน่าสนใจในมิติการเติบโตที่เด่นชัดที่สุด เทียบกับบริษัทรับเหมาใหญ่รายอื่นๆ
นอกจากนี้ รัฐยังคงเดินหน้าสนับสนุนกระตุ้นให้เอกชนลงทุนต่อเนื่องในปี 2560 โดยมุ่งเน้นไปในพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา นอกจากการให้สิทธิพิเศษทางภาษี และสิทธิจูงใจต่างๆแล้ว ยังคงเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ล่าสุด คาดว่าจะมี 3 โครงการที่จะเปิดประมูลปีนี้ คือ สนามบินอู่ตะเภา , รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง และ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง โดยใช้รูปแบบ PPP Fast track ร่นระยะเวลาศึกษาเหลือ 8-10 เดือน จากเดิม 40 เดือน ซึ่งเป็นการส่งเสิรมและอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจและเอกชนเดินทางและขนส่งสินค้าดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้น JWD([email protected]) ประกอบธุรกิจให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศอย่างครบวงจร โดย JWD มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการสินค้าทั่วไป, สินค้าอันตราย, รถยนต์ และสินค้าที่อยู่ในห้องเย็นเนื่องจาก JWD มีคลังสินค้าทั่วไป, ลานวางสินค้าอันตราย, และลานจอดรถยนต์ บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
ทำให้ฝ่ายวิจัยมองว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์จาก EEC ด้วยเช่นกัน โดยการขยายท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จะส่งผลดีในระยะยาว เพราะจะเพิ่มพื้นที่รองรับสินค้า และการส่งออกรถยนต์ ทั้งนี้ JWD ได้รับสัมปทานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นผู้บริหารสินค้าอันตรายที่ท่าเรือแหลมฉบังจนถึงปี 2576 แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งน่าจะเห็นผลบวกชัดเจนหากกิจกรรมขนส่งที่ท่าเรือแหลมฉบังคึกคักมากขึ้นด้วยทำเลยุทธศาสตร์ของไทยที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางของ ASEAN ผนวกกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจาก EEC ทำให้ไทยมีศักยภาพที่จะเป็น Logistics Hub ของภูมิภาค
การรายงานงบฯ 1Q60 น่าจะได้ตามเป้าที่วางไว้ 2.3 แสนล้านบาท
จนถึงช่วงเย็นวานนี้มีบริษัทรายงานงบ 1Q60 ออกมาแล้วราว 67 บริษัท หรือคิดเป็น 35% ของ Market Cap ทั้งตลาด ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ราว 1.21 แสนล้านบาท ซึ่งหากเทียบกันเฉพาะบริษัทที่ประกาศงบฯ แล้ว พบว่า เติบโตโดดเด่นถึง 18.6%yoy และ 34.3%qoq หลักๆ มาจากการเติบโตของหุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ เช่น PTTEP, SCC, BCP, TU, HMPRO ยกเว้นหุ้นในกลุ่มผู้ให้บริการมือถือที่กำไรชะลอตัว คือ ADVANC และ DTAC ส่วนวานนี้ บริษัทที่รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด อาทิ
IVL (FV@B47) กำไรสุทธิงวด 1Q60 เพิ่มขึ้นถึง 49.6%qoq ดีกว่าคาด โดยกำไรจากการดำเนินงานปกติปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 40.3%qoq เป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 5 ปี หนุนโดย spread ผลิตภัณฑ์โดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.4%qoq ขณะที่ปริมาณขายปรับตัวลดลงเล็กน้อย 3.5%qoq เนื่องจากมี การหยุดซ่อมบำรุงเล็กน้อยตามแผนของโรงงาน PET ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีรายการพิเศษกำไรจากสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้า ขณะที่กำไรปกติงวด 2Q60 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากงวด 1Q60 หนุนโดยปริมาณขายที่กลับสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับ spread ผลิตภัณฑ์กลุ่ม PET ที่เห็นสัญญาณกระเตื้องขึ้น รวมถึง spread ผลิตภัณฑ์ EOEG ที่ยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เป็นบวกต่อ spread รวมของ IVL ในงวด 2Q60 ทั้งนี้ หากมองภาพทั้งปี 2560 คาดกำไรปกติจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องอีก 29.3%yoy หนุนโดยปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 10.5%yoy จากการรับรู้ปริมาณการผลิตเต็มที่ทั้งปีของ BP และ CEPSA รวมถึงในงวด 3Q60 โครงการส่วนขยาย PTA ใน Rotterdam จะแล้วเสร็จซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวเป็น 7 แสนตันต่อปี สำหรับในส่วนของโครงการ US Craker นั้น คาดจะแล้วเสร็จช่วงปลายงวด 4Q60 ซึ่งจะรับรู้เต็มที่ทั้งปีในปี 2561 ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานที่กำหนดให้ spread ผลิตภัณฑ์ปี 2560-2561 โดยรวมทรงตัวจากปี 2559 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำ ดังนั้นหาก spread ผลิตภัณฑ์ของ IVL ดีกว่าสมมติฐานก็จะถือเป็น upside จากประมาณการ รวมถึงรับอานิสงค์จากการปรับลดอัตราภาษีในสหรัฐฯเหลือ 15% จาก 38% โดยมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 47 บาท upside สูงถึง 30% คงแนะนำซื้อ และเลือกเป็น top pick ของกลุ่มฯ จากประเด็นบวกที่ได้รับจากทิศทางกำไรที่จะขึ้นทำ new high โดดเด่นและต่อเนื่องนับจากนี้ และแนวโน้มการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลในสหรัฐฯ
BCP (FV@B38) กำไรสุทธิงวด 1Q60 เพิ่มขึ้นถึง 84.2%qoq หลักๆ มาจากธุรกิจการตลาดที่ไตรมาสนี้ ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 50.0%qoq รวมถึงปริมาณการจำหน่ายรวมปรับเพิ่มขึ้น 3.2%qoq อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็กลับสู่ภาวะปกติ ส่วนธุรกิจไฟฟ้าได้รับอานิสงส์จากช่วงฤดูกาลของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับธุรกิจไบโอดีเซลที่ได้รับผลบวกจากปริมาณการจำหน่ายที่ปรับเพิ่มขึ้น 34.5%qoq เนื่องจากไตรมาสนี้ภาครัฐมีการประกาศสัดส่วนผสม B100 เป็น 5% จากในเดือน ต.ค. และ พ.ย. 2559 ที่อยู่เพียง 3% ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นมีกำไรลดลงเนื่องจากบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันลดลงจากงวดก่อนหน้า รวมถึงอัตราการเดินเครื่องโรงกลั่นลดลง แม้ค่าการกลั่นตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.9%qoq โดยรวมหากมองภาพทั้งปี 2560 คาดแนวโน้มกำไรปกติยังเห็นการเติบโต 11.3%yoy หนุนโดยปริมาณขายของธุรกิจโรงกลั่นที่กลับสู่สภาวะปกติไม่มีแผน shutdown เช่นที่เกิดขึ้นในงวด 1Q59 ที่ผ่านมา รวมถึงในส่วนของโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นน่าจะทยอยรับรู้การผลิตเชิงพาณิชย์ของโครงการใหม่ได้ต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 38 บาท มี upside จากราคาปัจจุบันอีกราว 16% อีกทั้ง Dividend Yield สูงเฉลี่ยราว 6% ต่อปี จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ
TU ([email protected]) กำไรสุทธิงวด 1Q60 สูงกว่าคาด เพิ่มขึ้น 62.8% qoq และ 19.3% yoy จากการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 22.3% qoq และ 16.5% yoy กดดันจากรายได้รวมอ่อนตัวลง 6.3% qoq และทรงตัวจากงวด 1Q59 เนื่องจากเป็นช่วง low season ของธุรกิจ นอกจากนี้ ราคาวัตถุดิบทูน่าและกุ้งที่สูงขึ้น ยังกดดัน gross margin ให้อ่อนตัวลงเหลือ 13.8% อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2560 เติบโต 18.9% yoy จากธุรกิจแซลมอนที่ฟื้นตัวจนกลับสู่ระดับคุ้มทุน พลิกจากที่ต้องเผชิญขาดทุนถึง 600 ล้านบาทในปี 2559 โดย TU ได้ปรับสัญญาขายแซลมอนล่วงหน้าให้สั้นลงเหลือราว 3-6 เดือน (เดิม 6-12 เดือน) เพื่อบริหารต้นทุนและราคาขายแซลมอนให้สอดคล้องกันมากขึ้น และเน้นขยายการเติบโตไปในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากขึ้น อาทิ ตลาดตะวันออกกลาง และจีน รวมถึงผลบวกจากการรวมส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าซื้อหุ้นกิจการ Red Lobster เข้ามาเต็มที่ทั้งปี 2560 ราว 380 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากเพียง 90 ล้านบาทในปี 2559 โดย TU โดดเด่นที่การเติบโตที่ระดับเฉลี่ย 14.2% p.a.(CAGR) ในระยะ 3 ปีข้างหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาหารอื่นๆ แม้ upside เทียบกับ Fair value ที่ 23.87 บาท จะเหลือเพียง 5.6% จึงแนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ผู้ผลิตทั้งในและนอก OPEC มีแนวโน้มขยายเวลาลดกำลังการผลิต หนุนราคาน้ำมันฟื้นตัว
ราคาน้ำมันดิบโลกเริ่มฟื้นตัว (หลังปรับฐานลงมาต่อเนื่องกว่า 4 สัปดาห์) สังเกตได้จากในช่วง 2 วันที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 2% โดยล่าสุดอยู่ที่ 46.43 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non farm payrolls) เดือน เม.ย. ปรับตัวดีขึ้น โดยพุ่งขึ้นอยู่ที่ 2.11 แสนราย จาก 7.9 หมื่นรายในเดือน มี.ค. หนุนให้อัตราการว่างงาน ในเดือนเดียวกันลดลงสู่ระดับ 4.4% (แตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี) ซึ่งเป็นปัจจยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น และอีกประเด็นที่สำคัญคือ ตลาดฯคาดว่าผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่ม OPEC มีแนวโน้มที่จะขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตลงในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามต้องคอยจับตาดูผลการประชุมของกลุ่ม OPEC ครั้งใหญ่ ในวันที่ 25 พ.ค. ที่จะถึงนี้ ว่าจะมีการขยายระยะเวลาการควบคุมระดับการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มออกไปหรือไม่?
ทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกที่เริ่มฟื้นตัว และฝ่ายวิจัยฯยังคงมุมมองบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะยาว ส่งผลดีต่อหุ้นน้ำมัน แต่หุ้น PTTEP(FV@B116) ยังมีความเสี่ยงจากประเด็นอินโดนีเซียยื่นฟ้องศาล จึงแนะนำซื้อสะสมทั้ง PTTEP(FV@B116) และ PTT (FV@B460) เมื่อราคาอ่อนตัวลง หรือจะหันมาลงทุนในหุ้น IRPC([email protected]) แทน ซึ่งได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นช่วง 2Q60 ยังทรงตัวได้ในระดับสูง จากการ shutdown โรงกลั่นหลายแห่งทั่วโลกตามช่วงฤดูกาล อีกทั้งคาดว่ากำไรงวด 1Q60 เติบโตโดดเด่นกว่า 48.3%qoq และยังเติบโตต่อเนื่องในงวด 2Q60 จากการกลับมาเดินเครื่องด้วย UHV เต็มกำลัง หนุนให้กำไรของ IRPC แข็งแกร่งนับจากนี้
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคทุกประเทศ
แรงกดดันตลาดทุนเริ่มผ่อนคลาย หลังการเลือกตั้งฝรั่งเศสเป็นไปตามคาด หนุน Fund Flow ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคอีกครั้ง สะท้อนจากวานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคกว่า 889 ล้านเหรียญ (หลังขายสุทธิเพียงวันเดียว) และยังเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ นำโดยเกาหลีใต้ 535 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยไต้หวัน 200 ล้านเหรียญ (หลังขายสุทธิเพียงวันเดียว), อินโดนิเซีย 123 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 13 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิป็นวันที่ 5) และไทยที่ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 17 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 592 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 4 วัน) เช่นเดียวกับสถาบันฯในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 460 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 2.3 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 5.1 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิป็นวันที่ 2)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636