- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 May 2017 17:48
- Hits: 2049
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
หลังการเลือกตั้งฝรั่งเศส น่าจะทำให้สถานการณ์ในยุโรปนิ่งขึ้น เปิดทางให้ Fund Flow ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังมีแรงกดดันจากกลุ่มพลังงาน ซึ่งเกิดจากราคาน้ำมันอ่อนตัว และปัญหาของ PTTEP คาดว่าจะทำให้ SET Index วันนี้ผันผวนในทางลง หุ้น Top Pick วันนี้ยังเลือก BJC(FV@B57) เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว ยังมีโอกาสที่จะถูกนำเข้าคำนวณ SET50 และ SET100
เลือกตั้งฝรั่งเศสไม่พลิก หนุนยูโรแข็ง-ดอลลาร์อ่อน…Fund Flow มีโอกาสไหลเข้า
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบที่ 2 ซึ่งทราบผลอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเช้าวันนี้เป็นไปตามที่คาด กล่าวคือนายเอ็มมานูเอล มาครงผู้สมัครสายกลาง (อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจรัฐบาลเดิม) ได้รับชัยชนะเหนือนาง มารีน เลอแปน ผู้สมัครพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ขวาจัดซึ่งมีแนวคิดจะพาฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรป ด้วยคะแนนเสียง 20.7 ล้านคะแนน (66.1%) ต่อ 10.6ล้านคะแนน (33.9%) โดยชัยชนะของนายมาครง เป็นการปิดโอกาสที่ฝรั่งเศสที่จะออกจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งทำให้ตลาดคลายความกังวลต่อความเสี่ยงการเมืองในยุโรป สะท้อนจากค่าเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งอยู่ในทิศทางทางแข็งค่าตอบรับประเด็นนี้ล่วงหน้าแล้ว คือ แข็งค่าราว 0.84%mtd ทั้งนี้การเลือกตั้งของประเทศในกลุ่ม EU ในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ 18 พ.ค. เลือกตั้งอิตาลี 8 มิ.ย. เลือกตั้งอังกฤษ และ ช่วง ก.ย.-ต.ค. เลือกตั้งเยอรมนี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์ในยุโรปในช่วงก่อนถึงการเลือกตั้งในอิตาลี ปลายปี 2560 น่าจะมีความนิ่งมากขึ้น ซึ่งสภาพดังกล่าวอาจส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และ ตลาดหุ้นไทย ซึ่งในเชิง Valuation ถือว่ามีความน่าสนใจก็อาจได้อานิสงส์จาก Fund Flow ในระยะต่อไป
ขณะที่ค่าเงินสหรัฐ (Dollar Index) อ่อนค่าลง 0.26%mtd จากประเด็นดังกล่าวและความไม่มั่นใจต่อการดำเนินนโยบายทางการคลังของประธานาธิบดีทรัมป์ อาทิ การลดภาษีทั้งระบบ ซึ่งยังไม่ระบุเวลาชัดเจน ขณะที่ปลายสัปดาห์ก่อนหน้ามีการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐในตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง คือการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non farm payrolls) เดือน เม.ย. พุ่งขึ้นอยู่ที่ 2.11 แสนราย จาก 7.9 หมื่นรายในเดือน มี.ค. หนุนให้อัตราการว่างงาน ในเดือนเดียวกันลดลงสู่ระดับ 4.4% (ระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนพ.ค.2550) จาก 4.5% ในเดือนก่อนหน้า หนุนให้ตลาดคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) จะขึ้นได้อย่างต่ำราว 2 ครั้งจากการประชุมที่เหลือ 5 ครั้งในปีนี้ โดยตลาดให้น้ำหนักโอกาสขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐไปที่การประชุมรอบถัดไป 13-14 มิ.ย. สะท้อนจากผลสำรวจ Bloomberg คาดโอกาสรอบมิ.ย. 100 % จาก 93.4%วันก่อนหน้า
PTTEP มีความเสี่ยงราคาหุ้นถูกกดดันช่วงสั้น จากประเด็นอินโดฯ ฟ้องศาล
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวเกิดขึ้นว่ากระทรวงกิจการทางทะเลของอินโดนีเซีย ได้ยื่นฟ้อง PTTEP และ PTTEP Australasia ต่อศาลในกรุงจาร์กาตาเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของโครงการมอนทารา ในออสเตรเลีย ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งส่งผลให้คราบน้ำมันแพร่กระจายไปในทะเลติมอร์ และไหลเข้าน่านน้ำอินโดนีเซีย โดยมูลค่าเงินชดเชยที่ทางกระทรวงกิจการทางทะเลยื่นฟ้องรวมราว 2 พันล้านเหรียญฯ (ทั้งนี้มีบางสื่อนำเสนอว่ามีการฟ้อง PTT ด้วย ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน) ซึ่งผู้บริหาร PTTEP ออกมาชี้แจงว่า ปัจจุบัน PTTEP ยังไม่ได้รับเอกสารเกี่ยวกับการฟ้องร้องอย่างเป็นทางการ จึงไม่ยังทราบรายละเอียดของการยื่นฟ้องครั้งนี้ ซึ่ง PTTEP อยู่ระหว่างการติดตาม ดังนั้นจึงถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียได้มีการเรียกร้องความเสียหายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นแต่เป็นการเรียกร้องผ่านสื่อเท่านั้น ไม่มีการฟ้องร้องเป็นทางการ และ PTTEP ก็ยังไม่เคยชดใช้ค่าเสียหายกับทางรัฐบาลอินโดนีเซียในช่วงที่ผ่านมาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบในกรณีเลวร้ายหากการฟ้องร้องเกิดขึ้นจริงและมีคำตัดสินของศาลให้ PTTEP และ PTTEP Australasia ต้องชำระค่าชดเชยตามคำเรียกร้องดังกล่าว ก็จะส่งผลกระทบต่อประมาณการ เนื่องจาก PTTEP ยังไม่มีการตั้งสำรองความเสียในกรณีการฟ้องร้องต่อศาลใดใดในประมาณการ (provision) เพราะในช่วงที่ผ่านมามีเพียงค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดพื้นที่เท่านั้น และอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบระยะสั้นต่อราคาหุ้นทั้ง PTTEP และ PTT ซึ่งเป็นบริษัทแม่ถือหุ้นใน PTTEP สัดส่วน 65.29% จนกว่าจะมีความชัดเจน ดังนั้นราคาหุ้นอาจ underperform กลุ่มฯในระยะสั้นได้ จึงแนะนำชะลอการลงทุน หรือ switch เข้าลงทุนใน IRPC ([email protected]) ที่พื้นฐานในช่วงที่เหลือของปีแข็งแรงน่าจะ outperform กลุ่มฯได้
DTAC ยังมีลุ้นคว้าคลื่น 2300 MHz แต่ราคาเต็มมูลค่าแล้ว..แนะ switch ไป AIT, SAMTEL
ความคืบหน้าการหาพันธมิตรใช้งานคลื่น 2300 MHz ของ TOT ที่มีเอกชนยื่นข้อเสนอร่วมงานทั้งสิ้น 6 ราย ได้แก่ ADVANC, DTAC, TRUE, บริษัท โมบาย แอลทีอี, บริษัท ทานตะวัน เทเลคอม และบริษัท ไฮมีเดีย เทคโนโลยี ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า TOT และบริษัทที่ปรึกษาได้คัดเลือกพันธมิตรที่มีศักยภาพมาแล้วทั้งสิ้น 3 ราย (ขณะเดียวกันได้ปฏิเสธกระแสข่าวที่หนึ่งในพันธมิตรที่ผ่านการคัดเลือก คือ บริษัท โมบาย แอลทีอี) โดยกำลังอยู่ระหว่างเจรจาขั้นสุดท้ายกับทั้ง 3 รายในรายละเอียดของแผนธุรกิจที่ได้เสนอมา ทั้งนี้ TOT จะทำการตัดสินใจเลือกพันธมิตรขั้นสุดท้ายช่วงสัปดาห์นี้ โดยมีเกณฑ์ตัดสินที่สำคัญ คือ แผนการขยายโครงข่ายและช่วงเวลาที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน และนำเสนอข้อมูลให้คณะกรรมการ TOT พิจารณาวันที่ 23 พ.ค. ซึ่งคาดจะประกาศผู้ชนะใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ TOT เคยระบุไว้ คือ 27 พ.ค. (2 เดือนหลังจากทุกรายยื่นข้อเสนอไปตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.)
ด้วยกระบวนการที่มีความคืบหน้าและใกล้ทราบผลสรุปมากขึ้น ประกอบกับ ผู้ชนะที่ยังไม่มีความชัดเจน (จากก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวว่า คือ บริษัท โมบาย แอลทีอี) จึงโอกาสที่กลับมามีกระแสเก็งกำไร DTAC ผู้ที่ถูกคาดหมายว่ามีโอกาสเป็นพันธมิตรกับ TOT มากสุดอีกครั้ง จากความจำเป็นการได้คลื่นใหม่ๆ มาลงทุนสู้กับคู่แข่งให้ดีขึ้น ยกระดับจากสถานะปัจจุบันที่มีข้อจำกัดในการลงทุน รวมถึงลดความเสี่ยงที่อาจขาดแคลนคลื่นให้บริการในอนาคต เนื่องจากคลื่นส่วนใหญ่ที่มีในมือปัจจุบันอยู่บนระบบสัมปทาน (ต้องรอ กสทช. นำกลับไปประมูลใหม่) เหลืออายุบริการราว 1 ปีกว่าๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประเด็นบวกดังกล่าวน่าสะท้อนในราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้และสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานไปแล้ว จึงยังคงคำแนะนำให้ Switch ไปยัง AIT([email protected]) SAMTEL([email protected]) ผู้รับเหมาวางระบบโครงข่ายที่คาดหมายว่าผลประกอบการปีนี้จะกลับมา Turnaround จากสัญญาณบวก Backlog ในมือปัจจุบันที่สัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่ราคาปัจจุบันยังมี Upside ให้ลงทุน
Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคมากขึ้น หลังผลเลือกตั้งฝรั่งเศสตามคาด
วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเกาหลีใต้หยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันเด็ก แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 57 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 10 วัน) แต่มีอยู่ 2 ประเทศที่ยังถูกซื้อสุทธิ คือ อินโดนิเซียถูกซื้อสุทธิ 52 ล้านเหรียญ และฟิลิปปินส์ 29 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ส่วนที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติขายสุทธิ คือ ไต้หวัน 77 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 8 วัน) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 61 ล้านเหรียญ หรือ 2.1 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ต่างกับสถาบันฯในประเทศที่ยังซื้อสุทธิราว 1.1 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7)
อย่างไรก็ตามความกังวลว่า ฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรปผ่อนคลายลง หลังการเลือกตั้งฝรั่งเศสเป็นไปตามคาด หนุน Fund Flow มีโอกาสไหลกลับเข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชีย สังเกตได้จากผลตอบแทนตั้งแต่การเลือกตั้งฝรั่งเศสรอบแรก ณ วันที่ 23 เม.ย. 60 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นเอเชียยัง Laggard กว่าตลาดหุ้นอื่นๆมาก อาทิ ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 7.4%, เยอรมนี 5.6%, ดาวโจนส์ 2.2% ขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียอย่าง อินโดนีเซียปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และไทยที่ติดลบเล็กน้อยราว 0.06% แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงดัชนีหุ้นไทยยัง Laggard กว่าเพื่อนบ้าน คาด Fund Flow มีโอกาสไหลเข้ามามากขึ้น
ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ช่วยจำกัด Downside Risk ของตลาดหุ้นไทย
ความกังวลต่อเสถียรภาพของสหภาพยุโรปที่ผ่อนคลายลง ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนจะย้ายเงินเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า สะท้อนจากราคาทองคำโลกที่ปรับลดลงต่อเนื่องกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond Yield) 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 2 สัปดาห์ต่อเนื่องเช่นกัน และจะทำให้กระแส Fund Flow ไหลเข้าสู่ภูมิภาค ซึ่งตลาดหุ้นไทยน่าจะได้อานิสงส์ไปด้วย ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยที่ยังแข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่งวด 1Q60 น่าจะออกมาไม่น้อยหรือใกล้เคียงกับ 1Q59 ที่ 2.3 แสนล้านบาท ยืนยันถึงความเป็นไปได้ของตัวเลขประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2560 ที่คาดไว้ราว 9.91 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 101.36 บาทต่อหุ้น ซึ่งหมายความว่าที่ระดับ SET Index ปัจจุบันมีค่า Expected P/E ณ สิ้นปี 2560 ที่ต่ำกว่า 15.5 เท่า เทียบเท่ากับ Market Earning Yield ที่ 6.5% ขณะที่ Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลไทย 1 ปี อยู่ที่ 1.5% ทำให้ Market Earning Yield Gap หรือผลตอบแทนที่คาดหวังได้จากตลาดหุ้นสูงถึง 5% ซึ่งระดับดังกล่าวน่าจะมากพอที่จะดึงดูดเงินลงทุนระยะยาวให้ไหลเข้าตลาดหุ้นได้ แต่น่าจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป สภาพแวดล้อมดังกล่าวเชื่อว่า Downside Risk ของ SET Index มีอยู่ค่อนข้างจำกัด การปรับตัวลดลงของ SET Index ที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นโอกาสในการลงทุน โดยกลยุทธ์การลงทุนยังเน้น Selective Buy ตาม theme ต่างๆ คือ
1) หุ้นที่มีสถานะเป็น Net Cash : LANNA (FV@B15), RATCH (FV@B65), SYNTEC ([email protected])
2) EPS Growth สูง และ upside สูง : LPH (FV@B12), PTT (FV@B460)
3) หุ้น Turnaround : RS ([email protected]), JWD (FV@B11)
4) หุ้นที่มีระดับ P/E ต่ำ และเงินปันผลสูง IRPC ([email protected]), THANI ([email protected]), QH ([email protected])
5) หุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนเฉพาะตัว : BJC (FV@B57) มีโอกาสสูงที่จะเข้าคำนวณ SET50-SET100 อีกทั้งผลการดำเนินงานปีนี้คาดกำไรสุทธิเติบโตถึง 71%yoy
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636