- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 05 May 2017 17:20
- Hits: 2906
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
คาดยัง Sideway? แต่คาดตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากตลาดต่างประเทศที่เคลื่อนไหวในแนวโน้มบวก โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรปที่เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ เช่นตลาดหุ้นเยอรมันและฝรั่งเศส และยังแนะติดตามการเลือกตั้งรอบ 2 ในฝรั่งเศส (7/5/60) คาดช่วยลดความกังวลต่อประเด็นฝรั่งเศสจะถอนตัวออกจาก EU หลังผลสำรวจล่าสุด นายมาครอง ยังมีคะแนนนำ นางเลอเปน ที่มีแนวคิดขวาจัด
ส่วนประเด็นการปฏิรูปภาษีของ ปธน.ทรัมป์ โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลที่ปรับลดลงจาก 35 – 39.6% เป็น 15% และลดขั้นบันไดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 7 ขั้น เหลือ 3 ขั้น คาดต้องใช้ระยะเวลาในการออกเป็นกฎหมาย ซึ่งต้องผ่านสภาคองเกรสพิจารณาต่อไป
ทางด้านราคาน้ำมัน ลดลงค่อนข้างแรง (-2.3 USD/bbl) หลังจากมีข่าวว่ากลุ่มโอเปกตัดโอกาสที่จะลดปริมาณการผลิตลงอีก และการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ที่ยังคงเพิ่มขึ้น คาดจะส่งผลกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น PTT และ PTTEP
ส่วนประเด็นในประเทศ ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ ยังอยู่ในช่วงการทยอยประกาศผลการดำเนินงาน ที่คาดมีแรงเก็งกำไรจนถึงกลางเดือนพ.ค. ขณะที่คาดยังมีความกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะต่อตัวเลข NPL ของกลุ่มธนาคารที่เพิ่มขึ้น
และยังแนะติดตามประเด็นที่สหรัฐฯ ระบุว่าไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศ ที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ล่าสูงสุดในรอบ 3 ปี มูลค่า 18,920 ล้านUSD หรือประมาณ 650,000 ล้านบาท และคาดสหรัฐฯ อาจมีมาตรการตอบโต้ออกมา (เช่น มาตรการด้านภาษี) ภายใน 90 วัน โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงประมง เป็นต้น
ส่วนทางด้านปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลของภาครัฐ ซึ่งส่งผลต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลัง ครม. เห็นชอบประเด็นการปรับร่างทีโออาร์ใหม่สำหรับรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง และแนะให้จัดทำร่าง TOR ใหม่ เสร็จภายใน 3 เดือน คาดมีความเป็นไป ได้ที่จะเปิดประมูลในช่วง 2H/60
SET SET50 SET100
1,573.05 +8.93 999.01 +5.44 2,248.85 +12.60
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA -6.43, NASDAQ +2.79, S&P +1.39, FTSE +13.57, CAC +71.42 และ DAX +119.94
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อย ประกอบกับการลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ส่งผลลบต่อดัชนี แต่ชดเชยกับผลการดำเนินงานของบางบริษัทที่ออกมาแข็งแกร่ง ในขณะที่เฟดมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 0.75 - 1.00% ตามคาด ขณะที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลัง GDP – 1Q/60 ขยายตัวเพียง 0.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า
ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จากรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด และปัจจัยทางการเมืองหลังคาดการณ์ว่านายมาครง ซึ่งเป็นนักการเมืองสายกลาง มีคะแนนนำในการเลือกตั้งฝรั่งเศสรอบ 2 ที่จะมาถึงในวันที่ 7 พ.ค. นี้
ทางด้านตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ สิ้นสุดวันที่ 29 เม.ย. ลดลงเกินคาดอยู่ที่ 238,000 ราย จาก 257,000 ราย ในสัปดาห์ก่อนหน้า
และยังอยู่ระหว่างรอ (1) ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร – เม.ย. โดยคาดเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่ง และคาดอัตราว่างงานจะปรับตัวขึ้น
สู่ระดับ 4.6% และ (2) การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบ 2 ของฝรั่งเศสในวันอาทิตย์นี้
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
17.37 1.93 3.12
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 39,049.22
สถาบัน 1,585.80
บัญชีหลักทรัพย์ -29.45
ต่างประเทศ -488.58
ในประเทศ -1,067.77
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$2.30 อยู่ที่US$45.52 ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่ากลุ่มโอเปกและผู้ผลิตน้ำมันนอกโอเปก ตัดโอกาสในการปรับลดกำลังการผลิตไปสู่ระดับที่ต่ำลงไปอีก ก่อนที่โอเปกจะประชุมกันในวันที่ 25 พ.ค.
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$19.9 อยู่ที่
US$ 1,228.6 ต่อออนซ์ จากความคาดหวังว่านายมาครงจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบ 2 ในวันที่ 7 พ.ค. นี้ ส่งผลให้นักลงทุนขายทองคำออกมา
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -489 ล้านบาท สะสม YTD +7,086 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท)
(+) ม.หอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค - เม.ย.
อยู่ที่ 77.0 เพิ่มขึ้นจาก 76.8 เมื่อมี.ค. โดยปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน หลังการส่งออกและท่องเที่ยว มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง
(+) ก.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผย 4M/60 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทย 11.88 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.71%YoY และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 3.43%YoY อยู่ที่6.14 แสนล้านบาท ขณะที่คาดทั้งปี’60 เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านล้านบาท เป็น 1.80 ล้านล้านบาท และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี’60ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59
ประเด็นที่ต้องติดตาม 5 พ.ค. 2560
5/5/60 สหรัฐฯ เปิดเผย
⦁ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ CBG เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาคเอกชน
ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ เป็นต้น
(6) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ IRPC, TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วง 2Q/60 เช่น AAV, AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.01 อยู่ที่ 2.31%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.09 อยู่ที่ 10.68
หุ้นแนะนำ : WORK
หุ้นแนะนำ
WORK : ราคาเป้าหมาย (ปี 2560) 58.50 บาท
คาดผลการดำเนินงาน 1Q/60 จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดย Workpoint TV ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมีเรตติ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญ คือ การสร้างสรรค์และผลิตรายการได้ตรงใจผู้ชม สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการให้ตรงกับความต้องการของผู้ชมโดยอาศัยระยะเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น โดยเฉพาะในรายการยอดฮิตอย่าง “The Mask Singer” ที่มีแผนออกอากาศซีซั่นที่ 2 ต่อทันที โดยได้รับค่าเช่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นรวมถึงมีการจองโฆษณาล่วงหน้าเกือบเต็มเวลาแล้ว
คาดรายได้ค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีของปี’60 จะสามารถเติบโตมากกว่าเป้า 62,000 บาทที่ WORK ได้วางเอาไว้ได้
ประเมินผลการดำเนินงานของ WORK เติบโตโดดเด่น จากรายได้ค่าโฆษณาที่เพิ่มสูงขึ้นตามเรตติ้งอย่างต่อเนื่อง คาดมีกำไรสุทธิปี’60 ที่ 462 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133% และมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยอีก 3 ปีข้างหน้าที่ 50%
ประเมินราคาเป้าหมายปี’60 ที่ 58.50 บาท
นักวิเคราะห์ : ศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์ โทร .02-684-8789