- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 03 May 2017 17:41
- Hits: 2195
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,560-1,573 จุด ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ และจะมีแรงหนุนเฉพาะหุ้น Domestic Play ซึ่งมีผลประกอบการ 1Q60 ดีขึ้นจากงวด 4Q59 เช่น บันเทิง อสังหาฯ ยานยนต์ กลยุทธ์แนะหุ้น 1) net cash (STEC, LANNA) 2) EPS Growth สูง+upside (LPH, PTT) 3) หุ้น Turnaround (RS, JWD) และ 4) PER ต่ำ&เงินปันผลสูง (IRPC, THANI, QH) Top pick: QH([email protected]) P/E ต่ำ Yield สูง และ Laggard
เงินดอลลาร์อ่อนค่า Fed จะยืนดอกเบี้ยที่เดิม vs การเมืองฝรั่งเศสนิ่งขึ้น
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) (ซึ่งน่าจะทราบผลพรุ่งนี้ช่วงเช้า ตามเวลาไทย) ซึ่งคาดว่าจะไม่อะไรใหม่ โดยยังคงยืนดอกเบี้ยที่เดิม แต่น่าจะให้น้ำหนักกับการประชุมรอบถัดไป 13-14 มิ.ย. ซึ่งสอดคล้องผลสำรวจ Bloomberg ที่คาดว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไปที่ 70% ขณะรอบนี้ต่ำเพียง 13.3% ทั้งนี้ภาพการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้ยังคงที่ 2 ครั้งจากการประชุมที่เหลือ 6 ครั้ง โดย Fed คาดเป้าหมายดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2560 ที่ 1.5% และปี 2561 Fed ยังคาดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 3 ครั้งราว 0.75% อยู่ที่ 2.25% ณ สิ้นปี 2561
ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์(Dollar index) ที่กลับมาอ่อนค่าราว 2.2% ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย.-ปัจจุบัน และน่าจะเป็นผลจากความไม่เชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายการคลังของประธานาธิบดี ทรัมป์ โดยเฉพาะการปรับลดภาษีทั้งระบบ รวมถึงประเด็นการอนุมัติขยายเพดานหนี้สาธารณะฯที่ใกล้เพดานสูงสุด น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายภาษีดังกล่าว หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ล้มเหลวจากการผลักดันนโยบายหลักเกี่ยวกับกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่(Trump care) ในช่วงก่อนหน้าปลายเดือน 24 มี.ค.
นอกจากนี้น่าจะเป็นผลจากที่ความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในฝรั่งเศสที่ผ่อนคลายลงหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรกเมื่อ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏว่าผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 2 อันดับแรก คือนายเอ็มมานูเอล มาครง พรรคก้าวหน้า(อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจรัฐบาลเดิม) ได้คะแนน 23.8% มีจุดยืนนิยมสายกลาง สร้างความสมานฉันท์ในฝรั่งเศส กับนางมารีน เลอแปน พรรคแนวร่วมแห่งชาติ ฝั่งขวาจัด คะแนน 21.5% มีแนวคิดพาฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรปดังเช่น Brexit อย่างไรก็ตามติดตามปลายสัปดาห์นี้ 7 พ.ค. ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบ 2 ซึ่งคาดว่านายเอ็มมานูเอล มาครง (นิยมสายกลาง) จะได้รับชนะ สะท้อนจากล่าสุดผลสำรวจการเลือกตั้งในรอบที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 1 พ.ค.ของสื่อ Telegraph พบว่านายเอ็มมานูเอล มาครงจะชนะนางมารีน เลอแปนด้วยคะแนน 59.9% ต่อ 40.1% ประเด็นนี้จึงหนุนให้ค่าเงินยูโรแข็งค่า 3.2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ นับจากต้นเดือน เม.ย.-ปัจจุบัน หลังจากที่เคยอ่อนค่ากว่า 6 % นับจาก Brexit
หุ้น Domestic Play มีสัญญาณดีขึ้นนับจากงวด 1Q60
ยังอยู่ในช่วงของการทำ Earning Preview โดยคาดว่าหุ้น Domestc Play น่าจะมีสัญญาณทีดีขึ้นในงวด 1Q60 เป็นต้นไป หลังจากที่ผ่านจุดต่ำสุดในงวด 4Q59 เริ่มจาก
กลุ่มค้าปลีก HMPRO ([email protected]) รายงานกำไรสุทธิดีกว่าคาด และแนวโน้มการเติบโตจะแข็งแกร่งดีขึ้นอีกในงวด 2H60 เนื่องจากกลยุทธ์การเพิ่ม gross margin ที่เห็นผลชัดเจน ทำให้มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการฯ และราคาหุ้นมี upside 20% (อ่านรายละเอียด ใน Equity Talk วันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา)
ส่วนที่ยังไม่ประกาศงบฯ แต่ผลประกอบการน่าจะสดใส คือ BJC (FV@B57) คาดกำไร 1Q60 จะเติบโตถึง 129% จากการรวมงบการเงินกับ BIGC เต็มไตรมาส (ถือหุ้น 97.94%) ขณะที่ธุรกิจเดิมของ BJC คงจะคาดเติบโตราว 9% yoy จากการส่งมอบงานโครงสร้างเหล็กเพิ่มกว่า 1Q59 กว่าเท่าตัว ช่วย หักล้างดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนที่เพิ่มจากการก่อหนี้เพื่อซื้อ BIGC อย่างไรก็ตามคาดดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงอย่างมีนัยฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังทยอยชำระหนี้โดยนำเงินที่ได้จากเพิ่มทุน 2 รอบ (เงินกู้ระยะสั้น (Bridge Loan) ที่นำมาซื้อ BIGC 2.1 แสนล้านบาท ขณะนี้เหลืออยู่ 1.3 แสนล้านบาท) และ งวด 2H60 คาดยอดขาย BIGC จะกลับมาฟื้นตัวจากกำลังซื้อดีขึ้นและการเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมรวมทั้งคาดหวัง gross margin ที่ดีขึ้นจากการปรับกลยุทธ์เพิ่ม Private Brand สินค้าอุปโภคบริโภค BJC จากปัจจุบัน 6 เป็น 10 ประเภท เมื่อทำงบการเงินรวมแล้ว BJC จะเติบโตโดดเด่นถึง 71%
สำหรับกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ดังที่ได้ทำเสนอไปวานนี้ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q60 มีโอกาสเป็นช่วงต่ำสุดของปี โดยลดลง YoY เนื่องจากงวดปีก่อนมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อย่างไรก็ตามคาดผลประกอบการจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นรายไตรมาส และกลับมาพีคสุดใน 4Q60 โดย
SC ([email protected]) คาด 1Q60 กำไรสุทธิลดลง 37% QoQ และ 64% YoY ตามยอดโอนฯ ที่ลดลงอย่างมีนัยฯ เนื่องจากโครงการแนวราบใช้เวลาในการโอนฯ นานขึ้น ส่วนคอนโดฯ มีการโอนฯ เฉพาะโครงการเดิมที่สร้างแล้วเสร็จ ขณะที่ยอด Presale ยังไม่สูงมาก สวนทางกับ SG&A/Sale ยังอยู่ในระดับที่สูง จึงทำให้ผลประกอบการไตรมาสแรกชะลอตัว แต่คาดว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี เนื่องจาก Backlog จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงกว่า 7.5 พันล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนช่วยหนุนให้ผลประกอบการในไตรมาสต่อๆ ไปสูงขึ้นตามลำดับ จึงคาดกำไรสุทธิปี 2560 ทรงตัวใกล้เคียงปี 2559 อย่างไรก็ตาม SC มีจุดเด่นที่ Dividend Yield สูงกว่า 5% ต่อปี
AP ([email protected]) คาด 1Q60 กำไรปกติเพิ่มขึ้น 42% YoY จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร JV (ขณะที่ 1Q59 บันทึกส่วนแบ่งขาดทุน) ขณะที่ยอด Presale ยังไม่สูงมากนัก แต่จะดีขึ้นชัดเจนใน 2Q60 หลังเปิดคอนโดฯ ใหม่ 2 โครงการ โดยรวมคาดกำไรปีนี้เติบโต 15% yoy นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นจากเงินปันผลปี 2559 หุ้นละ 0.3 บาท คิดเป็น Div Yield เกือบ 4% โดยจะขึ้น XD 8 พ.ค. นี้
PSH ([email protected]) คาด 1Q60 กำไรสุทธิลดลง 48% QoQ และ 24% YoY จากการบันทึกรายได้ขายอสังหาฯ ลดลง ทำให้การรับรู้รายได้มาจากโอนฯ ต่อเนื่องในโครงการเดิม และ SG&A/Sales สูงขึ้น ส่วน 2Q60 ผลประกอบการมีแนวโน้มอ่อนตัวลง YoY แต่เติบโต QoQ ขณะที่งวด 2H60 มีกำหนดการโอนฯ เพิ่มอีก 4 โครงการ ประกอบกับการเปิดโครงการใหม่จะมีมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จึงคาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตราว 5% yoy แต่เชื่อว่าราคาหุ้นระยะสั้นจะมีแรงขับเคลื่อนจากคาดการณ์เงินปันผลสำหรับการดำเนินงาน 2H59 หุ้นละ 0.7 บาท ซึ่งคาดบอร์ดจะอนุมัติกลางเดือน พ.ค. นี้
SPALI ([email protected]) คาด 1Q60 กำไรสุทธิทำจุดต่ำสุดของปี โดยลดลง 33% yoy และ 22% qoq จากรายได้การขายอสังหาฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า Backlog ที่รอรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีจะเป็น momentum เชิงบวกในช่วงดังกล่าว จึงคาดกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้น 14% yoy นอกจากนี้ ยังคาดหมาย Div Yield ได้สูงเกือบ 5% ต่อปี
ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคทุกประเทศ ยกเว้นไทย
วานนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคกลับมาเปิดทำการปกติหลังจากหยุดทำการเนื่องจากวันแรงงาน โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ด้วยมูลค่าราว 538 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิถึง 4 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 116 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ไต้หวัน 356 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7) อินโดนิเซีย 63 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันนานถึง 18 วัน) และฟิลิปปินส์ที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 6 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 6 ล้านเหรียญ หรือ 208 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ในขณะที่สถาบันฯในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 585 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 1.8 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิราว 4.1 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน)
ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ “Sell in May” ซ้ำรอยในอดีต
ความกังวลฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรปเริ่มผ่อนคลายลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกกลับมาฟื้นตัวอย่างร้อนแรงอีกครั้ง อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นน่าจะสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว และมีโอกาสถูกขายทำกำไรในช่วงสั้น กดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ “Sell in May” ซ้ำรอยในอดีต ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี บ่งชี้ให้เห็นว่า เดือน พ.ค. เป็นเดือนที่ SET Index มักจะปรับตัวลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆที่เหลือ โดยลดลงเฉลี่ยถึง 1.97% และปรับตัวลดลง 3 ใน 5 ปี โดยมีปัจจัยหลักๆอยู่ 3 ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในช่วง เดือน พ.ค. คือ
1. เดือน พ.ค. เป็นช่วงประกาศงบบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรก ซึ่งจะมีนักลงทุนบางส่วนเข้าไปเก็งกำไร และหลังประกาศงบก็จะขายทำกำไรออกมา หรือที่เรียกกันว่า “Sell on fact”
2. เดือน พ.ค. ยังอยู่ในช่วงเทศกาลของการประกาศจ่ายเงินปันผล (ในช่วงเดือน เม.ย. – พ.ค. 2560) โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ จะทยอยประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยหุ้นมักจะปรับตัวลดลงตามเม็ดเงินปันผลที่จ่ายในวันขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งในเดือน พ.ค. 2560 มีบริษัทที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ถึง บริษัท และกดดันให้ SET Index ปรับตัวลดลงถึง 6 จุด (ตามคาดการณ์ของ Bloomberg)
3. จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ยหุ้นไทยในเดือนนี้สูงถึง 9.55 พันล้านบาท และเป็นการขายสุทธิถึง 4 ใน 5 ปี
ตราบใดที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน และยังถูกกดดันจากปัจจัยดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนควรพิถีพิถันในการเลือกหุ้น โดยฝ่ายวิจัยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาส Turn around ในปีนี้ ดังตารางทางด้านล่าง
หุ้น Turn around
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636