- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 30 March 2017 18:50
- Hits: 4413
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ซื้อตามค่าบวก, รอบนี้ไม่ผ่าน 1590 ขายก่อน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดอ่อนลง 1.75 จุด ที่ 1574.97 การซื้อขายยังซบเซา แต่ Window Dressing ก็ช่วยพยุงตลาดไว้ในระดับหนึ่ง สถาบันในประเทศกลับเป็นซื้อสุทธิ 2.06 พันล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิเล็กน้อย ปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
- เมื่อวานนี้ค่าเงินปอนด์อ่อนลงหลังอังกฤษใช้มาตรา 50 ภายใต้สนธิสัญญาลิสบอนเพื่อเริ่ม Brexit คาดใช้เวลาเจรจาเพื่อออกจาก EU 2 ปี
/- ตลาดเห็นว่าการถอนตัวของอังกฤษจาก EU อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการเมืองกับทั้งอังกฤษเองและประเทศใน EU
+ ราคาน้ำมันดิบบวกกว่า 2% หลังสต็อกสหรัฐเพิ่มน้อยกว่าคาด & ลิเบียมีปัญหาภายในจึงผลิตน้ำมันลดไป 1 ใน 3…Sentiment กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีดีขึ้น แนะนำซื้อ AJ (TP : 16 บาท), BCP (TP : 39 บาท), IVL (TP : 42 บาท), PTTGC (TP : 79 บาท)
กนง.มีมติคงดอกเบี้ยฯไว้ที่ 1.50% ตามคาด โดยปรับเพิ่ม GDP Growth ปีนี้เป็น +3.4% (เดิม +3.2%) สะท้อนส่งออกที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด
+ สปก.สรุปที่ดินในเขตปฎิรูปใช้ในกิจการกังหันลมของ 16 บริษัท (17 โครงการ) ได้...หุ้นเด่น GUNKUL (TP : 6 บาท), EA (Not Rated)
+ รัฐผลักดันโครงการ PPP Fasttrack อีก 6 โครงการมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท...เป็น Sentiment บวกกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หุ้นเด่น CK (TP : 32 บาท), STEC (TP : 30 บาท)
+/ Window Dressing การทำราคาปิดไตรมาส 1/60 ของสถาบันอาจเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้...แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing เป็นระยะ หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานที่แนะนำวันนี้เป็น EA
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดรวมเป็นลบเล็กๆ แต่มีสิทธีรีบาวด์ แนวต้าน 1580-1590, 1600 ค่าลบหรือต่ำกว่า 1565 ควร Wait & See หรือลดพอร์ตตาม
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SCP, SRICHA, ORI, BANPU, STA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ IRPC, KKP, HANA, EPG, ESSO, ROBINS, AMATA, TSR, AMA, CPN, BEM, GFPT หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ MTLS หุ้นหลุด List ได้แก่ SMPC
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
/- อังกฤษ : ประกาศใช้มาตรา 50 เริ่มกระบวนการเจรจา Brexit
นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มกระบวนการเจรจา Brexit ณ สภาสามัญชน (House of Commons) เมื่อวานนี้ ภายหลังจากนายทิม บาร์โรว์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสหภาพยุโรป ได้ยื่นหนังสือแจ้งความจำนงดังกล่าวต่อนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมในวันเดียวกัน
- Brexit : ผลสำรวจหอการค้าเผย Brexit จะสร้างความเสียหายต่ออังกฤษ และเยอรมนี
หอการค้าและอุตสาหกรรรมเยอรมัน (DIHK) เปิดเผยรายงาน "Going International" ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นบริษัท 2,200 แห่งเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่สหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป พบว่าใน 1,300 บริษัทที่ตอบแบบสำรวจมี 9% ที่ลงทุนในในอังกฤษจะย้ายการลงทุนไปยังเยอรมนี หรือประเทศอื่นๆในสหภาพยุโรป หลังจากที่อังกฤษแยกตัวจาก EU และบริษัทราว 40% คาดว่าจะทำธุรกิจกับอังกฤษน้อยลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในระดับสูงเกี่ยวกับผลพวงของ Brexit ที่บริษัทเยอรมันจะต้องเผชิญ เพราะอังกฤษเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 3 ของเยอรมนี และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 โดยเยอรมนีส่งออกสินค้าไปยังอังกฤษคิดเป็นมูลค่าราว 8.6 หมื่นล้านยูโร และอังกฤษส่งออกสินค้าไปยังเยอรมนีราว 3.56 หมื่นล้านยูโร
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยเดือนก.พ.เติบโตดี
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) +5.5%MoM และ +2.6%YoY ในเดือนก.พ.
-/ ตลาดหุ้นสหรัฐ : DJIA ปิดลบ 42.18 จุด หลังอังกฤษเริ่มกระบวนการ Brexit
ดัชนี DJIA ปิดที่ 20,659.32 จุด ลดลง 42.18 จุด หรือ -0.20% อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,361.13 จุด เพิ่มขึ้น 2.56 จุด หรือ +0.11% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,897.55 เพิ่มขึ้น 22.41 จุด หรือ +0.38% ทั้งนี้นักลงทุนกำลังจับตาการเริ่ม Brexit ของอังกฤษอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการแยกตัวอาจทำให้อังกฤษและประเทศใน EU มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีก และเทคโนโลยีปรับขึ้นได้ค่อนข้างดี
+ สัญญาน้ำมันดิบ : พุ่งขึ้นหลังสต็อกสหรัฐเพิ่มน้อยกว่าคาด & ลิเบียมีปัญหาจึงผลิตน้ำมันลดไป 1 ใน 3
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 49.51 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 52.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล สู่ระดับ 534 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 2-3 ล้านบาร์เรล และต่ำกว่ารายงานของ API ที่ระบุว่าสต็อกเพิ่ม 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนั้นการที่ลิเบียผลิตน้ำมันลดลงไป 1 ใน 3 (ลดลง 2.52 แสนบาร์เรล/วัน) เพราะมีกลุ่มกบฎปิดบ่อน้ำมันชาราราและวาฟา รวมทั้งอาจมีปัญหาพิพาทเกี่ยวกับค่าแรงด้วย ทำให้การลำเลียงน้ำมันชะงักงัน
- สัญญาทองคำ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 1.9 ดอลลาร์ หรือ 0.15% ปิดที่ 1,253.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นการขายทำกำไร และดัชนีค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้นหลังประธานเฟดชิคาโก, ซานฟรานซิสโก และบอสตัน ออกมาหนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป
ปัจจัยในประเทศ :
กระทรวงพลังงานระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ
กระทรวงพลังงาน ซึ่งในปัจจุบันทำหน้าที่เป็นเรกูเลเตอร์ ระบุว่าในขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOC) เพราะรูปแบบการบริหารพลังงานของประเทศเหมาะสมอยู่แล้ว ทั้งนี้สนช.จะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมและร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในวันที่ 30 มี.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าในร่างฯที่มีการระบุว่ามีเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติอยู่ด้วยนั้นจะผ่านการโหวตของสนช.หรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้มีทั้งนักวิชาการ-ผู้ประกอบการในธุรกิจพลังงาน-หม่อมอุ๋ย-บุคคลอื่นๆ ได้ออกมาคัดค้านเรื่องการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ด้านนายกรัฐมนตรีระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีความพร้อมและยังไม่มีความจำเป็นต้องตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ
+ กลุ่มรับเหมา & วัสดุก่อสร้าง : รัฐบาลเร่งผลักดัน PPP เพิ่มอีก 6 แสนล้านบาท
คณะกรรมการ PPP เห็นชอบให้เพิ่มการลงทุนเป็นโครงการ PPP Fasttrack อีก 6 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-วงแหวนกาญนาภิเษก) 1.31 แสนล้านบาท, สายสีส้มตะวันตก & ตะวันออก 1.95 แสนล้านบาท, รถไฟฟ้าสายภูเก็ต 3.94 หมื่นล้านบาท , โครงการทางหลวงพิเศษ (นครปฐม-ชะอำ) 8 หมื่นล้านบาท, รถไฟความเร็วสูง (กรุงเทพ-ระยอง) 1.52 แสนล้านบาท และรถไฟฟ้าเชียงใหม่ (กำลังศึกษา) สำหรับ 5 โครงการ PPP ที่เริ่มไปก่อนหน้านี้ก็คาดว่าจะเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติได้ในเดือนก.ค.60 นี้
+ กนง.ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปี 60 ของไทยเป็น +3.4%...ส่งออกฟื้นตัวดี
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมวันที่ 29 มี.ค.60 โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับปัจจุบันเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ทางกนง.เล็งเห็นว่าการส่งออกของไทยมีการฟื้นตัวที่ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า จึงปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปีนี้เป็น +3.4% (จากเดิม +3.2%) และปี 61 คาดว่าจะขยายตัวได้ +3.6% โดยมีปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายในประเทศและการส่งออกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ด้านอัตราเงินเฟ้อ ประมาณการของปี 60-61 ไว้ที่ 1.2% และ 1.9% ตามลำดับ ส่วนความเสี่ยงหลัก เป็นปัจจัยภายนอก ทั้งเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่อาจเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
+ กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังลม : สปก.สรุปที่ดินในเขตปฎิรูปใช้ในกิจการกังหันลมของ 16 บริษัท (17 โครงการ) ได้
ผลตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดของวินด์ ฟาร์มจำนวน 16 บริษัท 17 โครงการของสปก.แล้วเสร็จแล้ว โดยสรุปเป็น 4 ประเด็น ดังนี้ 1. ส.ป.ก.มีอำนาจตามกฎหมายในการอนุญาตให้เอกชนใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน, 2. ผู้ประกอบกิจการกังหันลมทั้ง 16 บริษัท (17 โครงการ) ได้ดำเนินการขออนุญาตถูกต้อง, 3. ผู้ประกอบการกังหันลมทั้ง 16 บริษัท 17 โครงการ ไม่ได้กระทำผิดสัญญาเช่า คือ 1) ผู้ประกอบการจ่ายค่าเช่าที่ดินให้ ส.ป.ก. 35,000 บาท/ปี/ไร่ ตามมติคปก. กำหนด และ 2) ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเช่ากับ สปก. และ 4. เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินได้รับประโยชน์จริง ทั้งในด้านค่าชดเชย การจ้างแรงงานในพื้นที่ การส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการจัดกิจกรรมสำคัญในท้องถิ่น การพัฒนาถนนสาธารณะ และการพัฒนาแหล่งน้ำ เป็นต้น
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นข่าวบวกกับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ได้แก่ EA (โครงการหนุมานขนาดกำลังการผลิต 260 MW), โครงการที่ RATCH และ DEMCO ร่วมทุนกับ Wind Energy Holding (WEH) 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 180 MW ส่วนของ EGCO เริ่ม COD แล้ว 2 โครงการที่ 6.9 MW และ 80 MW สำหรับ DEMCO และ NUSA มีเงินลงทุนในหุ้น WEH สัดส่วน 4% และ 1.17% ตามลำดับ
ด้าน GUNKUL บริษัทได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจาก SCB สำหรับโครงการมิตรภาพวินด์ฟาร์ม (พลังงานลม) ขนาด 50 MW ของบริษัทย่อย คือ โคราชวินด์เอ็นเนอร์ยี จำกัดแล้ว จำนวน 3,113 ล้านบาท โดยคาดว่าโครงการนี้จะสามารถขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปี 2561 (ต้นทุนในการก่อสร้างวินด์ฟาร์มจะอยู่ที่เมกะวัตต์ละ 80 ล้านบาท) ส่วนโครงการวินฟาร์มที่สระบุรี ขนาด 50-90 MW จะมีการลงทุนต่อหลังสรุปว่าสามารถเช่าที่ดินสปก.ได้ ทั้งนี้ DBSV มีการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานและแนะนำซื้อ GUNKUL โดยให้ราคาพื้นฐาน 6 บาท สำหรับ EA ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมรายใหญ่ ยังไม่ได้อยู่ใน Coverage เรา แต่มีมุมมองบวกกับแนวโน้มบริษัทหลังสามารถดำเนินโครงการบนพื้นที่สปก.ขนาด 260 MW ได้ ในการวิเคราะห์เทคนิค ให้แนวต้าน EA ไว้ที่ 28, 30 บาท และ Stop loss ถ้าหลุด 25.75 บาท
+ ORI (ราคาปิด 11.20 บาท) : ราคาหุ้นปรับขึ้นหลังมีการขาย Big Lot 16 ล้านหุ้น @ 11.30 บาท
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานว่ามีการซื้อขายหุ้น ORI เป็น Big Lot จำนวน 16 ล้านหุ้น (1.45%ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว) ราคาเฉลี่ย 11.30 บาท โดยผู้ซื้อที่ ทุนภัทร ส่วนผู้ขาย คือ นางอารดา จรูญเอก ซึ่งกลุ่มจรูญเอกเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ORI และมีสัดส่วนถือหุ้นรวมกัน 63.61%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]