WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

CIMBบล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)

 

SET Index: แนวต้านสำคัญ 1580
  SET Index: 1576.21 เคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อเนื่องที่บริเวณแนวต้านสำคัญ 1580 จุด พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบางต่อเนื่อง ซึ่งเราคาดว่า โครงสร้างในระยะยาวรายสัปดาห์มีแนวต้านสำคัญที่ 1590 จุด ถ้ายังไม่สามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้แนวโน้มหลักยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลง จึงแนะนำให้ขายที่บริเวณแนวต้าน 1580 จุดออก เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นน่าจะอยู่ในกรอบจำกัด และโครงสร้างในระยะกลางเริ่มสร้างกรอบแนวโน้มขาลง โดยมีแนวรับที่ 1520 จุด
  แนวต้าน : 1578 และ 1580
  แนวรับ : 1574 และ 1572

GL = 20.50 / 23.00, PTT = 390 / 396, CPF = 28.50 / 29.00, ADVANC = 178 / 180, BBL = 178 / 182

 

Nava Nakorn (NNCL TB; THB 1.31) -ซื้อ
  แนวต้าน : 1.36 และ 1.38 / แนวต้านสำคัญ 1.44
  แนวรับ : 1.31 และ 1.30
  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อเนื่องที่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  MACD เคลื่อนไหวออกด้านข้างในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลงต่อเนื่อง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 60
  แนะนำซื้อ NNCL โดยมีแนวรับที่ 1.31 และ 1.30 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.36 และ 1.38 เป็นจุดขายทำกำไร
  STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 1.28 ลงไป

STP&I (STPI TB; THB 9.80) - ซื้อ
  แนวต้าน : 10.20 และ 10.50 / แนวต้านสำคัญ 11.00
  แนวรับ : 9.80 และ 9.70
  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน แล้วเคลื่อนไหวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐาน
  MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนลบ เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 50
  แนะนำซื้อ STPI โดยมีแนวรับที่ 9.80 และ 9.70 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 10.20 และ 10.50 เป็นจุดขายทำกำไร
  STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 9.50 ลงไป

Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)

 

SET… sideway til the end of quarter
  เมื่อวานนี้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปีตามตลาด คาดการณ์ เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นและดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงอีกมาก โดยเฉพาะจากด้านต่างประเทศ นอกจากนั้นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปี 60 เพิ่มขึ้นเป็น 3.4% จากเดิมที่เคยประมาณการไว้ในเดือน ธ.ค.59 ที่ 3.2% เนื่องจากมองว่าการส่งออกเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น พร้อมกันนี้ กนง.ยังได้ประมาณการ GDP ในปี 61 ว่าจะเติบโตได้ 3.6% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องและมีแรงขับเคลื่อนที่สมดุลมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 60 จากทั้งการใช้จ่ายในประเทศ และภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
  ส่วนประมาณการอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าในปี 60 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.2% ส่วนในปี 61 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.9% โดยเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับสูงขึ้น และค่อยๆ กลับเข้าสู่ค่ากลางของเป้าหมายแม้จะต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้จากข้อมูลจริง ภาวะการส่งออกสินค้า มองว่าได้รับผลดีจากแนวโน้มความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าปีนี้การส่งออกจะเติบโต 2.2% ดีขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดว่าการส่งออกจะไม่เติบโต หรือเท่ากับ 0% ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตได้ 2.0% ขณะที่การนำเข้าในปีนี้จะเติบโต 7.2% และปีหน้าเติบโต 5.3% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้เกินดุล 36.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และปีหน้าเกินดุล 33.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกอาหาร (CPF GPT BR TU) กลุ่มอิเล็คโทรนิคส์ (KCE DELTA HANA SVI) และรวมถึงกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว (CENTEL ERW MINT AOT) ที่คาดว่าจะฟื้นตัวตาม
  เมื่อวานนี้ทางอังกฤษได้เริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นทางการ โดยนายทิม บาร์โรว์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสหภาพยุโรป ได้ยื่นหนังสือแจ้งความจำนงในการใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน เพื่อเริ่มกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ต่อนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมเมื่อวานนี้ ขณะที่ในเวลาต่อมา นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศเริ่มต้นกระบวนการ Brexit อย่างเป็นทางการต่อสภาสามัญชน (House of Commons) โดยเราเชื่อว่าการเริ่มต้นกระบวนการ Brexit อย่างเป็นทางการ รวมไปถึงความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งของประเทศฝรั่งเศสในเดือนเม.ย และพ.ค. นี้และการเลือกตั้งของเยอรมันในเดือนต.ค. จะทำให้เม็ดเงิน fundflow มีโอกาสที่จะไหลออกจากยุโรปมายังตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศไทย ดังนั้นเรามองประเด็นนี้เป็นความเสี่ยงในแง่บวกกับตลาดหุ้น แม้ว่าอาจจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจบ้างก็ตามแต่คาดว่าจะอยู่ในวงจำกัดสำหรับประเทศไทย
  สำหรับหุ้นที่เราแนะนำไปก่อนหน้านี้ว่ามีแนวโน้มที่อาจถูกทำราคาปิดประจำงวดไตรมาส 1/60 หรือ window dressing ซึ่งเป็นหุ้นใน SET50 ที่มีราคาปรับลดลงแรงในระหว่างไตรมาสแรกอย่าง CBG (-23%) CK (-13%) KCE (-13%) CENTEL (-11%) และ BDMS (-9%) เมื่อวานนี้ก็เห็นมีแรงซื้อเข้ามาที่ CBG +1.7% และ CENTEL +2.9% โดยเรายังเชื่อว่าในสัปดาห์ที่เหลือหุ้นทั้ง 5 บริษัทซึ่งเป็นหุ้นพื้นฐานดีที่เราแนะนำลงทุนในระยะยาวอยู่แล้วยังน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่ออีก โดยเราให้ราคาเป้าหมาย CBG ที่ 74 บาท, CK ที่ 34 บาท, KCE ที่ 117 บาท, CENTEL ที่ 49 บาทและ BDMS ที่ 23 บาท
  สำหรับราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนนี้ปรับเพิ่มขึ้น 1.14 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +2.4% ปิดที่ 49.51 ดอลลาร์/บาร์เรล (ซึ่งเป็นการฟื้นตัว 2 วันติดต่อกัน) หลังจาก EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล สู่ระดับ 534 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 2-3 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของ EIA ยังเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความขัดแย้งในลิเบีย โดยรายงานระบุว่า การผลิตน้ำมันในลิเบียลดลงถึง 1 ใน 3 หรือ 252,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากกลุ่มกบฏติดอาวุธได้ปิดบ่อน้ำมันชารารา และวาฟา ซึ่งส่งผลให้การลำเลียงน้ำมันตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ขณะที่สื่อต่างประเทศบางแห่งระบุว่า ข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าแรงก็เป็นอีกปัจจัยที่นำไปสู่การปิดบ่อน้ำมันทั้ง 2 แห่ง การฟื้นตัวของเราคาน้ำมันจะช่วยหนุนการเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเราแนะนำ PTT PTTEP TOP PTTGC IVL SGP
  กลยุทธ์วันนี้คาดว่าตลาดจะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยจะมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มที่ขึ้นมามากอย่าง ธนาคารและ ICT และคาดว่าจะมีแรงซื้อในกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง (PTT PTTEP TOP PTTGC IVL SGP) กลุ่มส่งออกหลังกนง. มีการปรับเพิ่มตัวเลข GDP และคาดการณ์ตัวเลขการส่งออกดีขึ้น (CPF GFPT TU BR KCE DELTA HANA SVI) และกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่ม laggard และคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ (CENTEL MINT ERW AOT) วันนี้มองแนวต้านที่ 1580-1585 จุด ส่วนแนวรับที่ 1568-1570 จุด วันนี้แนะนำ ซื้อเก็งกำไร BANPU CBG TPCH และ PTTEP

Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]

บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)

 

Morning Market Summary…
  SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,576.21 จุด เพิ่มขึ้น 1.24 จุด (+0.08%) มูลค่าการซื้อขาย 17,269.69 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้แกว่งแคบในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคที่แกว่งบวก-ลบด้วยวอลุ่มซื้อขายเบาบาง ตลาดยังรอปัจจัยใหม่เข้ามา ขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ติดตามตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ (คืนนี้)

Afternoon Perspective…
  แนวโน้มตลาดช่วงบ่าย คาดแกว่งแคบในทิศทางเดียวกับช่วงเช้า ตลาดยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ในระยะสั้น SET ยังไม่น่าผ่านระดับ 1580 จุด ติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลกับเม็ดเงินซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ บ่ายมองกรอบการเคลื่อนไหว 1570-1580 จุด

Technical Pick (PM) & Cash Balance...
  Nava Nakorn (NNCL TB; THB 1.31) - ซื้อ
  STP&I (STPI TB; THB 9.80) - ซื้อ
  Cash Balance Preview : คาดหลักทรัพย์ที่มีโอกาสจะติด Cash Balance สัปดาห์หน้า : - (กรณีหุ้นแม่ติด ฯ Warrant ทุกตัวของหุ้นนั้นจะติดตามด้วย)

Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!