- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 29 March 2017 16:19
- Hits: 1757
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แม้ SET ยังพลิกบวกอีก แต่ต้องระวังผันผวน ดังนั้นยังรอซื้อช่วงอ่อนได้
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังกลับมาแกว่งตัวด้านบวกอีกครั้ง พร้อมทั้งขยับขึ้นทำจุดสูงสุดต่อเนื่อง ขณะที่แรงซื้อก็เริ่มหนาแน่นมากขึ้น โดยคาดว่าส่วนหนึ่งอาจมาจากแรงซื้อเก็งกำไรในช่วงท้ายงวดบัญชี ซึ่งนักลงทุนบางส่วนคาดหวังกับการทำ window dressing จากนักลงทุนสถาบันฯ ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากว่า 3% ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติยังมียอดซื้อสุทธิเข้ามาในตลาดหุ้นบ้านเราต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์นี้ด้วย
แนวโน้มตลาดวันนี้ : ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้สามารถปิดเป็นบวกได้ดีอีกครั้ง แม้ว่าสุนทรพจน์ของประธานเฟดที่กรุงวอชิงตัน ดีซี จะไม่ได้มีการส่งสัญญาณใดๆ เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งถัดไป แต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ยังช่วยสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และผ่อนคลายความวิตกจากเรื่องที่ร่างกฎหมายประกันสุขภาพของ ปธน.สหรัฐคนใหม่ไม่สามารถผลักดันเข้าสู่สภาฯ สหรัฐลงได้บ้าง รวมทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็เริ่มมีจังหวะฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง จากรายงานที่ว่าการผลิตน้ำมันในลิเบียปรับลดลง หลังกลุ่มกบฏติดอาวุธได้ปิดบ่อน้ำมัน 2 แห่ง นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าผู้ผลิตน้ำมันจะบรรลุข้อตกลงในการขยายเวลาลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปีนี้ด้วย อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นเอเชียเปิดตัวบวกแคบ และยังผันผวน ทำให้ FSS คาดว่า SET ยังผันผวนและอ่อนตัวให้เห็นได้
กลยุทธ์ : ดังนั้นยังแนะนำให้รอเลือกหุ้นซื้อเพิ่มช่วงลบ แต่ซื้อแล้วให้เน้นถือ
แนวรับ 1574-1572 , 1568-1566 จุด
แนวต้าน 1578-1580 , 1582-1584 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : SQ, BWG, AMATA(buy back)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$538ล้าน นำโดยไต้หวัน US$430ล้าน เกาหลีใต้ US$56ล้าน และไทย US$49ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลออก แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาค ตลาดเกิดใหม่เริ่มได้รับความสนใจยิ่งขึ้นภายหลังจากนักลงทุนไม่มั่นใจต่อแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) เราเพิ่มน้ำหนักกลุ่มธนาคารเป็น Overweight จาก Neutral สะท้อนปัจจัยบวกทั้งคุณภาพหนี้ที่แนวโน้มดีขึ้น และการเติบโตของสินเชื่อที่ชัดเจนใน 2H17 และดีสุดในรอบ 4 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นเซอร์ไพรส์เชิงบวกในระยะถัดไป ใน 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มแบงก์ซื้อขายที่ PBV -1STD เพราะกังวลคุณภาพหนี้ เราคิดว่าถึงเวลา re-rate PBV ขึ้นมาให้เท่าค่าเฉลี่ยเดิม ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้มี upside อีก 20-30% แบงก์ที่เราเพิ่มราคาเหมาะสมมากสุดได้แก่ KBANK (ราคาเหมาะสมเพิ่มเป็น 240 บาท) SCB (ราคาเหมาะสมเพิ่มเป็น 195 บาท) BBL (ราคาเหมาะสมเพิ่มเป็น 230 บาท) ส่วน Top pick ยังเป็น TISCO (ราคาเหมาะสมเพิ่มเป็น 78 บาท) และเพิ่ม KBANK อีก 1 หลักทรัพย์
(+) ASEFA งาน Opp Day วานนี้ไม่มีประเด็นใหม่ ผู้บริหารยังคงเป้ารายได้ปีนี้โตต่อเนื่อง 10-15% ใกล้เคียงคาดการณ์ของเรา แต่กำไร 1Q17 จะชะลอ Q-Q ตามฤดูกาล (แต่โต Y-Y) ปกติกำไร 2H จะดีกว่า 1H เรายังคาดกำไรทั้งปี +13% Y-Y ปัจจุบันมี PE 13.8 เท่า คิดเป็น PEG ยังไม่แพง 1.1 เท่า และมี Yield 3.9% XD 2 พ.ค. หุ้นละ 0.32 บาท ยังคงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 9.70 บาท
(+) BEM ครม.อนุมัติให้เดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (Net Cost) และขยายเวลาเดินรถสีน้ำเงินเดิม (หัวลำโพง-บางซื่อ) อีก 20 ปีให้สิ้นสุดพร้อมกับส่วนต่อขยายในปี 2050 อัตราค่าโดยสาร 16-42 บาทตลอดเส้น จะทยอยเปิดปี 2019 หลังเปิดเต็มเส้นแล้วจะเดินรถเชื่อมต่อทั้งสีน้ำเงินเดิมและสีม่วงช่วงเตาปูน-บางใหญ่ คาดหนุนผู้โดยสารเพิ่มราว 1 แสน เที่ยว/วันในช่วง 1-2 ปีแรก เรารวมสีน้ำเงินส่วนต่อขยายในประมาณการแล้ว คงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 10.50 บาท
(+) TACC เปิดตัวสินค้าใหม่ Zenya Mocktail (ชาเขียวผสมผลไม้) แบบถุงซิป ถุงละ 30 บาท นับเป็นการใช้แบรนด์ Zenya ของตนเอง (ที่แข็งแกร่งในกัมพูชา) กับเครื่องดื่มแนวที่ถนัด เริ่มขายปลาย มี.ค. เฉพาะร้าน 7-11 เท่านั้น รับ Peak season ใน 2Q17 พอดี เรายังไม่ได้รวมสินค้านี้ในประมาณการ ยังคงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 11.50 บาท
(+) SAPPE ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% จากการฟื้นตัวทั้งในประเทศและส่งออก โดยเฉพาะตลาดจีนที่จะกลับมาเท่าที่เคยทำได้สูงสุดในปี 2014 เพราะมี Distributor เพิ่มขึ้นและมีสินค้าใหม่ แต่ในระยะสั้นแนวโน้มกำไร 1Q17 ยังไม่สดใสเพราะมีเปลี่ยน Distributor ในไทยและที่อินโดฯมีน้ำท่วม ทำให้ยอดขายชะลอ จะโตชัดเจนตั้งแต่ 2Q17 เราคาดกำไรปกติปีนี้ +26.7% Y-Y ปัจจุบันมี PE 18.7 เท่า คิดเป็น PEG เพียง 0.7 เท่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 39 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
29 มี.ค. - ไทย:กนง.ประชุม (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5%)
- สหรัฐ: Pending home sales (ก.พ.)
- อังกฤษ:นายกฯเตรียมประกาศมาตรา 50 ของ Lisbon Treaty
30 มี.ค. - ไทย:ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (ก.พ.)
- สหรัฐ: 4Q16 GDP (ตัวเลขสุดท้าย)
31 มี.ค. - ไทย:ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.พ.
- จีน:Manufacturing and Non-manufacturing PMI (มี.ค.)
- ยูโรโซน:เงินเฟ้อ (มี.ค.)
3 เม.ย. - ไทย:อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.), ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (มี.ค.), Dเข้าเทรด (ราคา IPO 6 บาท)
- จีน:Caixin China PMI Mfg (มี.ค.
- ญี่ปุ่น: ดัชนี Tankan 1Q17
- ยูโรโซน:Markit Eurozone Composite PMI (ก.พ.)
6 เม.ย. - สหรัฐ:คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (ม.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาพลิกมาบวกได้ค่อนข้างดีหลังปรับตัวลงติดต่อกัน 8 วันก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค. ที่ออกมาแข็งแกร่งและสูงสุดในรอบ 16 ปี
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนบวกได้เช่นกันเนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลกรณีทรัมป์ไม่สามารถผ่านร่างกฎหมาย American Health Care ได้สำเร็จ
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวในแดนบวกได้โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯที่พุ่งขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการเริ่ม Brexit อย่างเป็นทางการ
(0) ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงบ้างหลังจากแข็งค่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.40-35.50 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 0.64 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 48.37 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในลิเบียปรับตัวลงเนื่องจากกลุ่มกบฏได้ปิดบ่อน้ำมัน 2 แห่งสำคัญ รวมถึงกระแสคาดการณ์ว่า OPEC จะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตไปจนถึงปลายปีนี้
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 0.10 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,255.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนยังจับตาความไม่แน่นอนในด้านการเมืองและเศรษฐกิจหลังจากที่ทรัมป์เลิกความพยาบามผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพและหันไปเน้นด้านการปฏิรูปภาษีแทน
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch