- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 March 2017 16:44
- Hits: 1307
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังแกว่งตัว 1585-1565 จุด โดยไม่น่าเกิด Window Dressing แต่มี fund flow กลับเข้ามา หลังผิดหวังนโยบายของทรัมป์ฯ จะไม่สามารถผลักดันตามแผนได้ กดดันเงินดอลลาร์ และหุ้นสหรัฐปรับฐาน กลยุทธ์เลือกรายหุ้นที่ปลอดภัยจากดอกเบี้ยขาขึ้น (BLA, ROBIN, BBL, AIT) Top picks วันนี้เลือกผู้ส่งออกไก่ GFPT(FV@B19) และ CPF([email protected]) ได้ประโยชน์จากความต้องการไก่ส่งออกเพิ่มขึ้น หลังเกิดปัญหาผลผลิตโลกลดลงทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้นำเข้า
(0) ดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐาน ผิดหวังทรัมป์ไม่สามารถผลักดันนโยบายฯ ได้
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวแข็งแกร่ง แม้อาจเริ่มสะดุดบ้าง แต่คาดว่ายังคงหนุนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในช่วงที่เหลือปีนี้อีก 2 ครั้ง (จากที่ประชุม Fed เหลืออีก 6 ครั้งในปีนี้ โดยดอกเบี้ยโยบายสิ้นปี 2560 น่าจะอยู่ที่ 1.5-1.75% และจะขึ้นอีก 3 ครั้ง เป็น 2.5% ในปี 2560) โดยล่าสุดพบว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (Durable goods order) เดือน ก.พ. แม้ดีกว่าคาดคือเพิ่มขึ้น 1.7%yoy ผลจากการเพิ่มขึ้นของสินค้ากลุ่มเครื่องบินที่เพิ่ม 47.6% แต่ขัดแย้งกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) เดือน มี.ค.ลดลง 1.6%momอยู่ที่ 53.4 จุด (ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน)
ขณะที่การผลักดันนโยบายหลักของทรัมป์ เกี่ยวกับกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่(Trump care) เพื่อที่จะมาแทน Obamacare ของเดิม ปรากฏว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีมติไม่ผ่าน (เสียงสนับสนุนของ ส.ส.ในสภาไม่เพียงพอ คือ ไม่เกินครึ่งหนึ่งของ ส.ส. จากทั้งหมด 435 เสียง) ซึ่งจะทำไห้ Obamacare ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป หลังจากนี้ต้องติดตามต่อว่า ทรัมป์ จะสามารถยกเครื่องภาษีทั้งระบบดังที่เคยหาเสียงไว้หรือไม่
ความผิดหวังดังกล่าวได้กดดันให้ตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เพราะตลาดทั้ง 2 ได้ปรับตัวขึ้นไปตอบรับผลด้านบวกดังกล่าว ซึ่งทำให้ Dollar index กลับมาอ่อนค่านับจากช่วงต้นเดือน มี.ค. เป็นต้นมา โดย Dollar Index อ่อนค่ากว่า 2.6% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับสกุลหลัก โดยเฉพาะเงินเยนพบว่า แข็งค่ามากสุดราว 4% ในช่วง 2 สัปดาห์หลัง (แต่มีแนวโน้มแข็งค่าตั้งแต่ปลายปี 2559 โดยรวมแข็งค่า 6%) ตามมาด้วย ยูโร และ ปอนด์ แข็งค่า 2.9% และ 2.4% ในช่วง 3 สัปดาห์ (แต่ทั้งเงินปอนด์และยูโร มีแนวโน้มแกว่งตัว ความกังวลต่อปัญหาของ Brexit ที่เพิ่มขึ้น หลังสมาชิกอื่น ๆ เช่น อิตาลี และ ฝรั่งเศส เป็นต้น มีแนวคิดที่จะถอนตัวออกจากอียู)
และเมื่อเทียบกับสกุลเอเชีย พบว่าเงินดอลลาร์มีทิศทางทรงตัวถึงแข็งค่า หากเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม TIP โดยที่ค่าเงินเปโซ (ฟิลิปปินส์) ทรงตัวถึงอ่อนค่านับจากปลายปี 2559 เช่นเดียวกับเงินรูเปียะห์ (อินโดนีเซีย) ทรงตัวนับจากปลายปี 2559 (หลังจากอ่อนค่าต่อเนื่องนับจากเดือน ส.ค. 2559 ผลจาก fund flow ไหลออก) ยกเว้นเงินบาทที่แข็งค่ากว่า 2.2% ในช่วงกว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา (และแข็งค่าเกือบ 4% นับจากกลาง ธ.ค. 2559) ส่วนหนึ่งเกิดจากไทยยังคงได้ดุลการค้า หลังจากที่การส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัวในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ และ เงินทุนนไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง หลังจากที่การประชุม Fed มีการขึ้นดอกเบี้ยตามตลาดคาด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเงินบาทที่แข็งค่า เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ อาจจะเป็นเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ และปัจจัยที่จะกลับมากดดันค่าเงินโลกมากขึ้นเพียงใด ขึ้นกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางโลก โดยเฉพาะการประชุม Fed รอบถัดไป ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย และ กนง. ที่จะมีการประชุม 29 มี.ค. นี้ คาดว่ายังยืนดอกเบี้ยนโยบายที่เดิม
(0) GFPT, CPF ได้อานิสงส์ผลผลิตไก่ลดทั้งฝั่งผู้ผลิต/ผู้นำเข้า
ดังที่ได้นำเสนอตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงภาวะอุตสาหกรรมส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยที่สดใสมากขึ้น หลังจากกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการนำเสนอข่าวว่ามีการพบสารปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ส่งออก (ไก่และเนื้อวัว) ของประเทศบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าเนื้อสัตว์จากบราซิล มีมาตรการเข้มงวดขึ้น ได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และจีน ดังนี้คือ จีนได้ระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ทุกชนิดจากบราซิล สหภาพยุโรปประกาศระงับนำเข้าเนื้อสัตว์จากโรงงาน 4 แห่งใหญ่ของบราซิล ส่วนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ประกาศตรวจสอบเนื้อสัตว์นำเข้าจากบราซิลเข้มงวดมากขึ้น
และล่าสุดวันเสาร์ที่ผ่านมา มีการตรวจไข้หวัดนกในประเทศญี่ปุ่น เพิ่มเติม หลังจากที่ตรวจพบปลายปี 2559 ทำให้ญี่ปุ่นเตรียมทำลาย 3 แสนตัว คิดเป็นเนื้อไก่ประมาณ 720 ตัน ซึ่งน่าจะทำให้ญี่ปุ่นหันมานำเข้าทดแทนมากขึ้น จากปัจจุบันที่นำเข้าจากไทยอยู่แล้วปีละ 4 แสนตัน หรือคิดเป็น 40% ของปริมาณ นำเข้าเนื้อไก่ของญี่ปุ่นรวมราว 1 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้หลังจากสหรัฐซึ่งเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยตลาดส่งออกหลักของสหรัฐคือ ยุโรป เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น (ถือเป็นตลาดส่งออกเดียวกับไทย และบราซิล เป็นต้น) ได้ตรวจพบโรคไข้หวัดนกเมื่อช่วงต้นเดือนมี.ค. 60 ทำให้เกาหลีใต้สั่งระงับนำเข้าไก่สดแช่แข็งและไข่ไก่จากสหรัฐฯมีผลตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. 60 และประเมินว่าคู่ค้าเนื้อไก่ของสหรัฐฯ จะระงับการนำเข้าไก่สดแช่แข็งชั่วคราว จนกว่าสหรัฐฯจะประกาศเป็นประเทศปลอดเชื้อไข้หวัดนกอีกครั้ง ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 90 วัน หลังจากที่ตรวจพบโรคไข้หวัดนกในสหรัฐฯเป็นครั้งสุดท้าย โดยตลาดส่งออกของสหรัฐคือ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ เป็นต้น
จากปัญหาทั้งด้านฝั่งผู้ผลิต และประเทศนำเข้า ทำให้ปริมาณผลผลิตไก่ของโลกลดลง ขณะที่การส่งออกอาจจะไม่สามารถเพิ่มได้ทันที เนื่องจากต้องมีช่วงเวลาของการเตรียมในการเลี้ยงตั้งแต่พันธุ์ไก่ ระยะเวลาการเลี้ยง แต่คาดว่าน่าจะหนุนให้ราคาไก่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงยังคงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มฯ มากกว่าตลาด โดยประเมินว่า GFPT (ซื้อ : FV@B19) จะได้ประโยชน์สูงสุดในกลุ่มฯ เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจไก่ในประเทศราว 70% และคาดกำไรจากการดำเนินงานปี 2560 จะเติบโต 6.1%yoy แต่เนื่องจาก GFPT มี upside จำกัด จึงแนะนำ CPF(Buy : [email protected]) แม้รายได้ประโยชน์น้อยกว่า GFPT เพราะจากธุรกิจไก่ในประเทศราว 10% แต่ธุรกิจไก่และกุ้งมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน และราคาหุ้นยังมี upside สูงมาก
(+) ภาพรวมต่างชาติยังซื้อหุ้นในภูมิภาค เช่นเดียวกับไทย
วันศุกร์ที่ผ่านมา แม้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่าราว 82 ล้านเหรียญ แต่แรงซื้อเริ่มแผ่วลง และยัง 2 ตลาดหุ้นที่ยังมีแรงขายของต่างชาติ คือ เกาหลีใต้สลับมาขายสุทธิ 79 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) และฟิลิปปินส์ 23 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 แห่งต่างชาติซื้อสุทธิ คือ อินโดนิเซียถูกซื้อสุทธิ 79 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันนานถึง 14 วัน) ตามมาด้วยไต้หวัน 59 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10) และไทยที่ถูกซื้อสุทธิ 45 ล้านเหรียญ หรือ 1.57 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 6 โดยมีมูลค่ารวมกันกว่า 5.85 พันล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 1.19 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน)
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 828 ล้านบาท ต่างกับต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิราว 946 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 6 วัน)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์