- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 March 2017 16:39
- Hits: 1269
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET ขึ้นแรงและเร็วพอควร ทำให้ต้องระวังปรับพัก ดังนั้นรอซื้อลบดีกว่า
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังผันผวนกรอบแคบอยู่ในช่วงเช้าวันศุกร์ หลังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่ก่อนหน้านี้ดัชนีขยับขึ้นมาเร็วพอควรแล้ว จึงทำให้มีแรงขายทำกำไรช่วงบวกออกมากดดันต่อเนื่อง แต่ในช่วงท้ายตลาดเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาผลักดันให้ SET ขยับบวกได้อีก จนบวกสิ้นวันเกือบ 5 จุด แต่แรงซื้อยังไม่โดดเด่น ส่วนประเด็นลบต่างๆ ก็ยังกดดันตลาดอยู่เช่นเดิม
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เมื่อค่ำวันศุกร์ตลาดหุ้นสหรัฐยังแกว่งตัวผันผวน และมีจังหวะอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วงท้ายตลาด หลังสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ยกเลิกการลงมติเกี่ยวกับการนำร่างกฎหมาย “อเมริกันเฮลธ์แคร์” มาใช้แทนโอบามาแคร์ เนื่องจากเสียงสนับสนุนของพรรครีพับลิกันยังไม่มากพอต่อการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว ทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนของ ปธน.สหรัฐคนใหม่อาจล่าช้า ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ยังแกว่งตัวด้านลบ ซึ่ง FSS คาดว่าน่าจะกดดัน SET ให้มีสิทธิอ่อนตัวลงด้วยเช่นกัน แต่ FSS มองว่าถ้าตลาดปรับลงยังเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นซื้อ เพราะ Flow มีสิทธิที่จะเลือกเข้าเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงนี้เราก็เริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยบ้างแล้วด้วย ส่วนค่าเงินบาทก็ยังอยู่ในช่วงแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเราคาดว่าหุ้น Big cap. มีสิทธิเป็นกลุ่มนำตลาดในช่วงถัดไป
กลยุทธ์ : ดังนั้นเรายังแนะนำให้รอเลือกหุ้นทยอยซื้อเพิ่มในช่วงลบต่อไปได้ แต่ส่วนที่ซื้อแล้วยังแนะนำให้เน้นถือต่อเนื่องไว้ดีกว่า
แนวรับ 1572-1568 , 1565-1560 จุด
แนวต้าน 1575-1577 , 1580-1584 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : CBG, JWD, COM7(buy back)
Fund Flow เมื่อวันศุกร์เงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$90ล้าน นำโดยอินโดนีเซีย US$79ล้าน ไต้หวัน US$59ล้าน และไทย US$45ล้าน ขณะที่ไหลออกเกาหลีใต้ US$79ล้าน แนวโน้มเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าแต่อาจชะลอตัวลงหลังร่างกฏหมายสุขภาพของทรัมป์ไม่ได้รับการลงมติจากสภาฯเพราะเสียงสนับสนุนมีไม่เพียงพอ ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อนโยบายอื่นๆของทรัมป์ในระยะข้างหน้า การชะลอตัวของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้ประเทศเกิดใหม่มีความน่าสนใจอีกครั้ง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) Window dressing หนุนหุ้นขนาดใหญ่ PTT, SCC, AOT และกลุ่มแบงก์น่าจะช่วยจำกัด downside ของตลาดในสัปดาห์ของการทำ Window dressing ขณะที่การประชุม กนง. พุธนี้ อาจส่งสัญญาณปรับประมาณการ GDP ขึ้นจากที่คาดไว้ 3.2% (Consensus คาด 3.3-3.4%) ซึ่งจะเป็น sentiment บวกต่อตลาด ส่วนอัตราดอกเบี้ย น่าจะยังคงไว้ที่ 1.5% ตามเดิม และคงไว้อีกระยะใหญ่ ส่วนการที่ Trump ทำให้นักลงทุนผิดหวังและเริ่มเสียความเชื่อมั่นในการผลักดันนโยบายต่อๆไป ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและ Bond yield สหรัฐต่ำกว่า 2.4% หนุน Flow ไหลกลับเข้าตลาด EM ในระยะถัดไป
(+) กลุ่มท่องเที่ยว 1Q เป็น peak season โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณนักท่องเที่ยวใน 1Q คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี เป็นไตรมาสที่ Peak ที่สุด ผลประกอบการของกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ก็จะดีที่สุดใน 1Q เช่นกัน ล่าสุดนักท่องเที่ยวในเดือน ม.ค. +6.5% Y-Y, +6.9% M-M เราแนะนำหุ้นในกลุ่มโรงแรมที่โดดเด่นสุดคือ MINT (ราคาพื้นฐาน 43 บาท) ทุกธุรกิจจะฟื้นตัวในปีนี้ การ Renovate และ Rebrand โรงแรม Tivoli จะทันรับ high season ใน 2Q17 ส่วนธุรกิจ Timeshare และธุรกิจอาหารฟื้นตัวเช่นกัน คงคำแนะนำซื้อ
(+) MALEE บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2017 โต 10-15% และเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาทในปี 2018 เน้นโตในตลาดส่งออก (31% ของรายได้รวม) ทั้งแบรนด์ตนเองและรับจ้างผลิต โดยเฉพาะน้ำมะพร้าวที่ยังโต double digit ได้อีก 3-4 ปีข้างหน้า ส่วนธุรกิจที่ร่วมทุนในฟิลิปปินส์จะรับรู้ผลขาดทุนลดลงต่อเนื่อง เราคาดกำไรปีนี้ +29% Y-Y และ +23% Y-Y ปีหน้า กำไรยังไม่โดดเด่นเต็มที่ใน 1Q17 แต่จะทยอยดีขึ้นในไตรมาสถัดไป ยังแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 115 บาท
(+) TACC แนวโน้มกำไร 1Q17 ดีต่อเนื่องเพราะเริ่มรับรู้รายได้จาก Jump start (Energy drink) ที่กัมพูชา ซึ่งทำยอดขายได้ดีตามเป้า ส่วน 2Q17 จะรับรู้รายได้จาก Sawasdee เครื่องดื่มผงที่ขายในจีน ธุรกิจอื่นเติบโตตามการขยายร้าน 7-11 และการออกสินค้าใหม่ๆ ปัจจุบันมี PE 30 เท่า แต่เป็น PEG เพียง 0.4 เท่า จากกำไรที่คาดโตสูงถึง 68% Y-Y ในปีนี้ จึงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 11.50 บาท
(+) GLOBAL ไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปช่วยชาติและไม่ได้ประโยชน์จาก Seasonal แต่กำไร 4Q16 ก็ทำได้ดีกว่าคาดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยับขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ ส่วนกำไร 1Q17 น่าจะออกมาดีเพราะเป็น High season และการเริ่ม operate ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก ราคาหุ้นในปีนี้ laggard กว่ากลุ่ม ทำให้มี PE 32 เท่า คิดเป็น PEG 1.1 เท่า ถูกกว่ากลุ่ม ยังคงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 21 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
27 มี.ค. - ไทย: TOT เปิดรับข้อเสนอ Beauty Contest ของคลื่น 2300MHz
28 มี.ค. - เกาหลีใต้: 4Q16 GDP
29 มี.ค. - ไทย: กนง.ประชุม (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5%)
- สหรัฐ: Pending home sales (ก.พ.)
- อังกฤษ: นายกฯเตรียมประกาศมาตรา 50 ของ Lisbon Treaty
30 มี.ค. - ไทย: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (ก.พ.)
- สหรัฐ: 4Q16 GDP (ตัวเลขสุดท้าย)
31 มี.ค. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.พ.
- จีน: Manufacturing and Non-manufacturing PMI (มี.ค.)
- ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (มี.ค.)
3 เม.ย. - ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (มี.ค.), ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (มี.ค.), D เข้าเทรด (ราคา IPO 6 บาท)
- จีน: Caixin China PMI Mfg (มี.ค.)
- ญี่ปุ่น: ดัชนี Tankan 1Q17
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 หลังมีแรงกดดันมาจากการที่สภาฯ ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมาย American Health Care แทนที่ Obama Care ได้สำเร็จ จึงทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อการผลักดันนโยบายอื่นๆของนายทรัมป์
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อย โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เฝ้าติดตามผลการลงมติร่างกฎหมาย American Health Care ของสหรัฐฯ
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดลบตามภาวะตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่ถูกกดดันจากค่าเงินเยนแข็งค่า
(0) ค่าเงินบาทล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.46-35.52 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. ปิดบวก 0.27 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 47.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ขยับบวกเล็กน้อยหลังปรับลดลงมาต่อเนื่อง 4 วัน โดยได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมผู้ผลิตน้ำมันช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่คูเวต
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ปิดบวก 1.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,248.50 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch