- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 16 March 2017 16:43
- Hits: 5299
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
Sideway? คาดมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ ภายใต้มุมมองในเชิงบวกต่อการปรับขึ้นอัตราอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ โดยเฉพาะต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่คาดแข็งแกร่งเพียงพอ ขณะที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้บแบบค่อยเป็นค่อยไป และคาดคงเหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้
ขณะที่คาดราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตามภาพรวมราคายังมีความผันผวน โดยคาดยังถูกกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินทั้งของสหรัฐฯ และปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก – ก.พ. (ยกเว้นซาอุดิอาระเบีย) ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนการเลือกตั้งในเนเธอร์แลนด์ – 15/3/60 คาด Sentiment เป็นบวกหลังผลสำรวจล่าสุดคะแนนของนายกฯ คนปัจจุบัน นำพรรคอื่นๆ ซึ่งคาดช่วยลดความกังวลโดยเฉพาะการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง ที่อาจเป็นการจุดกระแสความนิยมต่อนโยบายขวาจัดสำหรับการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมันต่อไป
พร้อมแนะติดตามค่าเงินสหรัฐฯ ที่มีทิศทางแข็งค่า โดยคาดส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า Commodity ที่มีการซื้อขายในรูปเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง รวมถึงเงินทุนไหลออก จาก Emerging Market รวมถึงไทย และส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่ม Blue Chip ที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ
ทางด้านประเด็นในประเทศ ภาพรวมยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ อย่างไรก็ตามกลับมีความผันผวนหุ้นในกลุ่ม Leasing โดยเฉพาะ GL การเข้าลงทุนควรเป็นไปอย่างระมัดระวัง ขณะที่คาดยังได้รับปัจจัยลบจาก Fund Flow ภายใต้แรงกลับมาขายสุทธิของต่างชาติ เกือบ 2,500 ล้านบาท และ YTD ยอดขายสุทธิสะสมของต่างชาติ เพิ่มเป็น 12,117 ล้านบาท (MTD ขายสุทธิสะสม 14,800 ล้านบาท) อย่างไรก็ตามสถาบันในประเทศยังมีแรงซื้อสุทธิต่อเนื่อง
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า
SET SET50 SET100
1,540.80 -2.35 975.71 -1.54 2,197.40 -2.37
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +112.73, NASDAQ +43.23, S&P +19.81, FTSE +10.79, CAC +11.22 และ DAX +21.08
ตอบรับเชิงบวกโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของเฟด ที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังเฟดมีมติ (9-1) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% อยู่ที่ 0.75 - 1.00% ตามความคาดหมาย ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ และเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในปีนี้ และ 3 ครั้งในปี’61
ขณะที่เฟดคาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 2.1% ในปี’60 - 61 และคาดชะลอลงสู่ 1.9% ในปี’62 และคาดอัตราการว่างงาน อยู่ที่ 4.5% สิ้นปี’60 และทรงตัวในระดับดังกล่าวถึงปี’62 พร้อมคาดอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสู่ 1.9% ในปี’60 จากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวเข้าใกล้ระดับ 2%
นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (1) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน – มี.ค. เพิ่มขึ้น 6 จุด อยู่ที่ 71 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 ปี (2) ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) - มี.ค. อยู่ที่ระดับ 16.4 ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 (3) ยอดค้าปลีก – ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.1% ตามคาด และ (4) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) - ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.1% ดีกว่าที่คาดว่าจะทรงตัว
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการก่อนทราบผลประชุมเฟด อย่างไรก็ตามได้รับปัจจัยบวกจากหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อยู่ระหว่างรอผลการเลือกตั้งในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเลือกตั้งวานนี้ (15/3/60) โดยผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า พรรค People’s Party for Freedom and Democracy (VVD) ของนายมาร์ค รุตเต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเนเธอร์แลนด์ มีคะแนนนำเหนือพรรคอื่นๆ
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
16.98 1.89 3.08
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 46,887.65
สถาบัน 2,811.62
บัญชีหลักทรัพย์ -70.7
ต่างประเทศ -2,465.79
ในประเทศ -275.13
และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ TKN เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี’60 ที่โดดเด่น เช่น ANAN และ SPALI เป็นต้น
(6) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐและเอกชน ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ และ UNIQ เป็นต้น
(7) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ BANPU ปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหิน
(8) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(9) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจขนส่งทางเรือ เช่น PSL คาดได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมเรือเทกอง ขณะที่ดัชนีค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลัง YTD ลงไประดับต่ำสุดที่ 683 เมื่อกลางก.พ.’60 ล่าสุดอยู่ที่ 1,147 หรือเพิ่มขึ้น ประมาณ 68%
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.09 อยู่ที่ 2.51%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.67 อยู่ที่ 11.63
หุ้นแนะนำ : KOOL
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788