- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 07 March 2017 17:51
- Hits: 4188
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
คาดยังมีโอกาสปรับลง? แต่คาดอยู่ในกรอบจำกัด โดยคาดยังได้รับปัจจัยกดดันเดิมจากประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่เฟดอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่คาดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนถึงวันประชุมในสัปดาห์หน้า (14 – 15/3/60) ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วในเดือนมิ.ย.
และภายใต้ประเด็นข้างต้น ยังแนะจับตา (1) เงินสหรัฐฯ ที่คาดมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายเป็นเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง และ (2) Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย
ขณะที่ในระยะกลาง มีการเลือกตั้งของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ตามลำดับ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองก็จะกดดันภาพรวมตลาดในระยะต่อไป
ทางด้านราคาน้ำมัน คาดในระยะสั้นยังมีความผันผวนจาก (+) แผนการปรับลดปริมาณผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้ง OPEC และ Non OPEC (-) ปริมาณผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยังคงมีความกังวลอุปทานส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม คาดระดับราคาน้ำมันในปี’60 อยู่ในระดับที่สูงกว่าปี’59 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 41 – 42USD ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับลดลง
ทางด้านประเด็นในประเทศ แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ แต่คาดได้รับปัจจัยกดดันเพิ่มขึ้นจาก Fund Flow ไหลออกต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และทำให้ YTD กลับเป็นยอดขายสุทธิสะสม เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามได้รับการชดเชยเข้ามาบ้าง จากแรงซื้อสุทธิของสถาบันในประเทศ
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
SET SET50 SET100
1,553.61 -12.59 975.54 -7.87 2,200.65 -18.41
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดต่างประเทศ DJIA -51.37, NASDAQ -21.58, S&P -7.81, FTSE -24.14, CAC -22.94 และ DAX -68.96
ภายใต้ปัจจัยกดดัน (1) ความเป็นไปได้ที่เฟด อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ (14 – 15/3/60) หลังประธานเฟด ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าว (2) ความตึงเครียดด้านการเมือง รวมถึงเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธตกลงในเขตเศรษฐกิจพิเศษของญี่ปุ่น และ (3) คณะทำงานของโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้สภาคองเกรสดำเนินการตรวจสอบข้อกล่าวหาว่า อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา สั่งการให้ดักฟังโทรศัพท์ในอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในช่วงก่อนการเลือกตั้งเดือนพ.ย.’59
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยลบเพิ่ม จากดอยซ์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ประกาศเพิ่มทุน 8 พันล้านยูโร (8.5 พันล้านUSD) ในวันที่ 21 มี.ค. เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนของธนาคาร ขณะที่ดอยซ์แบงก์ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 ปีหลังจากที่นายจอห์น ไครอัน เข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหาร รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.13 อยู่ที่US$53.20ต่อบาร์เรล ภายใต้ปัจจัยลบ (1) จีนปรับลดเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี’60 อยู่ที่ 6.5% (เป้าหมายเดิม 6.5 – 7.0%) ลดลงจาก 6.7% เมื่อปี’59 และ (2) ความไม่มั่นใจต่อการให้ความร่วมมือของรัสเซียในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน หลังการผลิตน้ำมันของรัสเซีย – ก.พ. ทรงตัวที่ระดับ 11.11 ล้านบาร์เรล/วัน
รวมถึงจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 7 แท่น อยู่ที่ 609 แท่น ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
17.12 1.91 3.06
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 38,747.80
สถาบัน 153.37
บัญชีหลักทรัพย์ -32.53
ต่างประเทศ -2,202.07
ในประเทศ 2,081.22
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มอาหาร ได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น BR และ TKN เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี ’60 เช่น KBANK และ SCB เป็นต้น
(3) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น และความต้องการในประเทศที่คาดดีขึ้น เช่น SCC
(5) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี’60
ที่โดดเด่น เช่น ANAN และ SPALI เป็นต้น
(6) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐและเอกชน
ที่เข้ามาต่อเนื่อง เช่น SQ และ UNIQ เป็นต้น
(7) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น และ BANPU ปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหิน
(8) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(9) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจขนส่งทางเรือ เช่น PSL คาดได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากการปรับตัวของอุตสาหกรรมเรือเทกอง
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัว อยู่ที่ 2.49% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.28 อยู่ที่ 11.24
หุ้นแนะนำ : PSL
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788