- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 06 March 2017 17:45
- Hits: 4448
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อหุ้นดี & เติบโตแกร่งจังหวะอ่อนตัว"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SAMTEL (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ตลาดหุ้นไทยพักตัวอีกรอบหลังปรับขึ้นรับการแถลงสุนทรพจน์ทรัปม์ ปิดตลาดดัชนีลดลง 3.74 จุดปิดที่ 1566.20 จุด โดยมีขายทำกำไรในหุ้น Big Cap หลายตัว ต่างชาติขายสุทธิถึง 2.1 พันล้านบาท ปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
ประธานเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย 14-15 มี.ค.นี้ และโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 80% แต่ค่าเงิน US$ อ่อน & หุ้นแกว่งแคบ
PMI ภาคบริการเดือนก.พ.ของสหรัฐอ่อนลง แต่ยังเหนือ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวได้ต่อเนื่อง
+ ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการเดือนก.พ.ของยูโรโซนเพิ่มสู่ระดับ 56.0 ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี...บ่งชี้ถึงการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจ
-/ แท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐเพิ่มอีก 7 แท่นเป็น 609 แท่นในสัปดาห์ก่อน รัสเซียลดการผลิตลงเพียง 1 ใน 3 ของที่ตกลงไว้...ราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างจำกัดทำให้กำไรกลุ่มพลังงานโตจำกัด ในเชิงกลยุทธ์ เราชอบ BCP ซึ่งมี Valuation ถูกและ Dividend Yield ปีนี้สูงกว่า 6%
/+ คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทบหุ้นไทยไม่มากเพราะ SET สะท้อนข่าวและนักลงทุนปรับพอร์ตล่วงหน้าไปแล้ว ขณะเดียวกันก็มีลุ้นเรื่องทรัมป์ลดภาษีหนุนกำไรภาคธุรกิจในสหรัฐ ซึ่งคาดว่า IVL และ TU จะได้รับประโยชน์ด้วย
+ SAMTEL : ปรับคำแนะนำเป็นซื้อ (เดิม FV) ราคาพื้นฐาน 14 บาท คาดธุรกิจฟื้นตัวในปี 60กำไรจะเพิ่มเป็น 455 ล้านบาทจาก 172 ล้านบาทในปี 59 เพราะจะได้งานใหม่มากขึ้นเป็น 1-1.3 หมื่นล้านบาทปีนี้ (ปี 59 ได้งาน 7 พันล้านบาท) ซึ่งงานหลักๆ จะเซ็นสัญญาใน 2Q60
+ BANPU : เราคาดกำไรปี 60 จะ +259% จากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น (รัฐบาลจีนประกาศปิดเหมืองถ่านหินที่ประสิทธิภาพต่ำและสร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมต่ำอีก 150 ล้านตันในปี 60 นี้) ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจถ่านหินในจีน & โรงไฟฟ้าหงสาดีขึ้น รวมทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษก้อนใหญ่ ด้าน P/E ปี 60 จะลดเหลือ 12 เท่าจาก 43 เท่าในปี 59 ปันผลดีขึ้นเป็น Yield ราว 4% ให้ราคาพื้นฐาน 21 บาท
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing เป็นระยะ
หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานดีที่แนะนำวันนี้เป็น SAMTEL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นค่อนไปทางลบเล็กๆ แนวต้าน 1570-1580 จุด การอ่อนตัวต่ำกว่า 1565 มีแนวรับ 1560-1550 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SQ, HTECH, TFG, ITEL, MC, M ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ JMART, SINGER, PTTGC, MEGA หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ TIPCO, SAT หุ้นหลุด List -ไม่มี-
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
- สหรัฐ : ผลสำรวจระบุโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยกลางมี.ค.สูงขึ้นมาก
ผลสำรวจล่าสุด ณ 3 มี.ค.60 ของ CME Group FedWatch ระบุว่านักลงทุนเชื่อว่ามีโอกาสสูงถึง 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค.60 นี้
+ ยูโรโซน : ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการเดือนก.พ.เพิ่มสู่ 56.0 ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี
ผลสำรวจมาร์กิต อิโคโนมิคส์ ระบุว่าดัชนีรวมภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนขั้นสุดท้ายเดือนก.พ.อยู่ที่ 56.0 ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยเพิ่มขึ้นจาก 54.4 ในเดือนม.ค.60 นำโดยดัชนี PMI ของ สเปน (ที่ดัชนีสูงสุดในรอบ 18 เดือน) เยอรมนี (สูงสุดในรอบ 34 เดือน) ฝรั่งเศส (สูงสุดในรอบ 69 เดือน) และอิตาลี (สูงสุดในรอบกว่า 12 เดือน)
- ญี่ปุ่น : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.ลดลง...กังวลมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนก.พ.ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนสู่ระดับ 43.1 จาก 43.2 ในเดือนม.ค. เนื่องจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
สหรัฐ : ประธานเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมกลางมี.ค.นี้
ถ้อยแถลงของนางเยลเลนซึ่งมีขึ้นที่ Executives Club of Chicago เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 14-15 มี.ค.นี้ หากเศรษฐกิจขยายตัวที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งขณะนี้เห็นว่า "อัตราว่างงานในเดือนม.ค.2017 ที่ระดับ 4.8% นั้นสอดคล้องกับระดับการประเมินของเฟด ส่วนเศรษฐกิจก็ดูเหมือนว่าจะสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศได้ และเงินเฟ้อในเดือนม.ค.ก็ส่งสัญญาณเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับเกือบ 2% ของเฟดแล้ว"
สำหรับบุคคลสำคัญที่หนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ได้แก่ นางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก และนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก เป็นต้น
สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.พ.ยังสูงกว่า 50 พอควร
มาร์กิตเปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 53.8 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หลังจากพุ่งแตะระดับ 55.1 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่...ดัชนีภาคบริการ ISM เพิ่มเป็น 57.6 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2015 และสูงขึ้นจาก 56.5 ในเดือนม.ค.2017
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นเล็กน้อย
ดัชนี DJIA ปิดที่ 21,005.71 จุด เพิ่มขึ้น 2.74 จุด หรือ +0.01% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,870.75 จุด เพิ่มขึ้น 9.53 จุด หรือ +0.16% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,383.12 จุด เพิ่มขึ้น 1.20 จุด หรือ +0.05% ทั้งนี้ตลาดประเมินว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดสะท้อนเข้ามาแล้วพอควร และตลาดให้น้ำหนักบวกกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่า
+/ สัญญาน้ำมันดิบ : รีบาวด์ในรอบสัปดาห์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 53.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 82 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 55.90 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการ ส่วนหนึ่งเพราะเงิน US$ อ่อนลง และมีข่าวความไม่สงบในลิเบีย แต่ราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นจำกัดเพราะเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่แล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 7 แท่น สู่ระดับ 609 แท่น และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน ขณะเดียวกันมีข่าวว่ารัสเซียลดปริมาณการผลิตลง 1 ใน 3 ของที่ตกลงไว้
- สัญญาทองคำ : อ่อนลงต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 6.4 ดอลลาร์ หรือ 0.52% ปิดที่ 1,226.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ :
./- สัมปทานปิโตรเลียมยังไม่แน่นอน...ธุรกิจ PTTEP และ PTTGC มีความเสี่ยงไปด้วย
ทาง PTTEP เปิดเผยว่าสัมปทานปิโตรเลียมบงกชจะหมดอายุสัมปทานปี 2565-2566 ซึ่งปัจจุบันปริมาณขายและรายได้บริษัทมาจากแหล่งนี้ 25% ของทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทจะได้รับการคัดเลือกหรือได้ต่ออายุสัมปทานหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็พยายามลดความเสี่ยงนี้ด้วยการซื้อกิจการในต่างประเทศเข้ามาเพิ่ม และเร่งผลิตในโครงการที่มีอยู่ 3 โครงการซึ่งรวมถึงโมซัมบิก สำหรับเม็ดเงินลงทุนมีเพียงพอ โดยขณะนี้มีเงินสดในมือประมาณ 4 พันล้านUS$ สำหรับบริษัทย่อยที่ซื้อวัตถุดิบก๊าซเพื่อมาใช้ในการผลิตปิโตรเคมี เช่น PTTGC ก็จะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนเรื่องสัมปทานปิโตรเลียมไปด้วย เพราะกระบวนการผลิตของบริษัทใช้วัตถุดิบก๊าซเป็นหลัก นอกจากนั้นราคาหุ้นปัจจุบันของ PTTGC ก็มี Forward P/E ปี 2560F ที่ไม่ได้ต่ำมาก โดยเท่ากับ 12.4 เท่า ขณะที่ PTT & IRPC อยู่ประมาณ 11 เท่า, TOP 10 เท่า และ BCP ต่ำสุดที่ 8 เท่า รวมทั้งมี Dividend Yield ปี 2560F ที่สูงมากถึง 6.4% ด้วย ในเชิงกลยุทธ์ เราจึงให้ BCP เป็นหุ้นเด่นเพราะมีทั้ง Valuation ที่จูงใจและเป็นหุ้น High Yield Play ด้วย
+ สรรพากรคาดการแก้กฎหมายเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์จะเสร็จเดือนมี.ค.นี้
กรมสรรพากรคาดว่าการแก้ประมวลรัษฎากรเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์จะเสร็จเดือนมี.ค.60 โดยจะตีกรอบให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต้องจดทะเบียนเข้าระบบ และกฎหมายใหม่ให้อำนาจบุคคลที่ 3 บล็อกการทำธุรกิจได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางภาษีและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้การซื้อขายผ่านระบบ Socil Commerce มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ในปี 60 คาดว่าจะ +20% จากยอดปี 59 ที่ราว 2 แสนล้านบาท ส่วนภาพ E-Commerce โดยรวมในปี 59 อยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท คาดว่าเป็น 60 จะ +25% เป็น 2.5 ล้านล้านบาท โดยกลุ่ม B-to-C ใหญ่ที่สุดโดยมีมูลค่าราว 4 แสนล้านบาท
SST (ราคาปิด 14.50 บาท) : ให้สิทธิผู้ถือหุ้นจองซื้อหุ้น "มัดแมน" 10:1 กำหนด XB 14 มี.ค.60
บริษัทย่อยของ SST คือ บริษัทมัดแมน จะเข้าจดทะเบียนในตลาด MAI ในไตรมาส 2/60 โดยจะเสนอขายหุ้น IPO ทั้งหมด 210.98 ล้านหุ้น (20% ของหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมด) ซึ่งไม่เกิน 50% จะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้น SST (สัดส่วน 10 หุ้น SST : 1 หุ้น IPO มัดแมน) และไม่เกิน 50% จัดสรรให้กับประชาชนทั่วไป (PO)
สำหรับธุรกิจของมัดแมน แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ 1) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ดำเนินการภายใต้แบรนด์ต่างประเทศ เช่น ดังกิ้น โดนัท, โอ ปอง แปง, บาสกิ้น รอบบินส์ และที่ดำเนินการภายใต้แบรนด์ตัวเอง คือ เกรฮาวด์ คาเฟ่ และครัวเอ็ม 2) ธุรกิจด้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ ภายใต้แบรนด์ เกรฮาวด์ และร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ณ สิ้นก.ย.59 บริษัทมีดังกิ้น โดนัท 296 สาขา, โอ ปอง แปง 71 สาขา, บาสกิ้นฯ 31 สาขา, เกรฮาวด์ คาเฟ่ 24 สาขา (ไทย 13 และขายแฟรนไชส์ต่างประเทศ 11 สาขา ส่วนครัวเอ็มเป็นธุรกิจรับบริหารศูนย์อาหารในโรงพยาบาลและอาหารสำหรับผู้ป่วยใน เริ่มที่โรงพยาบาลรามคำแหง และจะขยายไปในโรงพยาบาล รวมทั้งสถานศึกษาอื่นๆ ด้วย
ในปี 59 บริษัท SST มีผลขาดทุนสุทธิ 140 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการตัดด้อยค่าในธุรกิจแฟชั่น (แต่ใน 4Q59 เริ่มมีกำไรสุทธิแล้ว 15 ล้านบาท) แต่ในปี 60 จะไม่มีรายการประเภทนี้แล้ว และคาดว่าธุรกิจแฟชั่นจะเริ่มทำกำไรได้แล้วหลังจากขาดทุนมาโดยตลอด คาดการณ์รายได้ปี 60 เติบโต 20% (CAGR ของ 3 ปีก่อนอยู่ที่ 24.8%) โดยหลักมาจากการขยายสาขา
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]