- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 06 March 2017 17:01
- Hits: 1514
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET เริ่มปรับลงและคาดว่าจะปรับลงต่อได้อีก ดังนั้นยังค่อยๆ ทยอยซื้อลบ
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET เริ่มมีจังหวะแกว่งตัวย้อนลบทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะยังมีลักษณะทรงตัวลบในกรอบไม่ลึกนัก แต่ก็ขาดแรงหนุนเพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเพิ่ม ขณะที่ในตลาดเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการขยับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐตั้งแต่การประชุมเฟดรอบนี้เลยได้ (14-15 มี.ค.) โดยนักลงทุนกำลังรอดูสัญญาณจากการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟดในช่วงค่ำวันที่ 3 มี.ค.อยู่
แนวโน้มตลาดวันนี้ : ในช่วงค่ำวันศุกร์ที่ 3 มี.ค.ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พร้อมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมนี้ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนที่ได้ออกมาแสดงความเห็นไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกดดันให้ดัชนีดาวโจนส์แกว่งตัวบวก/ลบแคบๆ และส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังมีจังหวะปรับตัวลงอีก ส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแม้ว่าจะมีจังหวะฟื้นตัวขึ้นมากว่า 1% โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และข่าวการอพยพคนงานที่ท่าเรือขนส่งน้ำมันแอสไชเดอร์ ในประเทศลิเบีย จากเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ใกล้เคียง แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้น หลังมีรายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐยังเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน ทำให้ FSS ยังคาดว่า SET มีโอกาสที่จะยังแกว่งตัวลงต่อได้อีกมากกว่าตามคาดเดิม
กลยุทธ์ : ดังนั้นเรายังแนะนำให้รอเลือกหุ้นค่อยๆ ทยอยซื้อในช่วงลบต่อไป
แนวรับ 1564-1560 , 1558-1555 จุด
แนวต้าน 1568-1573 , 1575-1577 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : PSTC, TSE, BH(buy back)
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$215ล้าน นำโดยไต้หวัน US$144ล้าน ไทย US$59ล้าน และเกาหลีใต้ US$18ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเวียดนาม US$9 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลังประธาน Fed ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Fed พร้อมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้หากเศรษฐกิจ (การจ้างงานและเงินเฟ้อ) ขยายตัวเป็นไปตามที่คาดการณ์
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) เยลเลนส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเดือนนี้ ส่งผลให้ Bond yield อายุ 10 ปีของสหรัฐปรับขึ้นเป็น 2.4726% สูงใกล้เคียงกับช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อสิ้นปีก่อน ตลาดคาดความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 14-15 มี.ค. เพิ่มเป็น 94% จากสัปดาห์ก่อนที่ 90% แนวโน้มเงินทุนต่างชาติยังไหลออก แต่การขึ้นดอกเบี้ยเป็น sentiment บวกกับกลุ่มแบงก์ สำหรับผลกระทบกับ SET จะเห็นว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดปลายปี 2016 SET ปรับลง 1% ใช้เวลา 4 วัน ส่วนปลายปี 2015 SET ปรับลง 3.7% ใช้เวลา 3 วัน
(+) SWC เราแนะนำซื้อ ประเมินราคาพื้นฐาน 14.70 บาท (PE 12.5 เท่า) จุดเด่นคือเป็นผู้นำสินค้ากลุ่มรักษาเนื้อไม้และกำจัดแมลง มีแบรนด์แข็งแกร่งคือเชนไดร์ท มีตัวแทนจำหน่าย 2 รายใหญ่ที่เป็นพันธมิตรมานานคือ TOA และ Victor ฐานะการเงินแกร่ง ธุรกิจของ SWC เติบโตตามเศรษฐกิจ ไม่หวือหวา แต่ด้วยประสิทธิภาพในการบริหาร ทำให้กำไรขยายตัวเร็วกว่ารายได้ คาดกำไรปี 2017-19 โตเฉลี่ย 14% ปัจจุบันมี PE เพียง 10 เท่า และคาด Dividend yield 4-5% ต่อปี
(+) LIT การจ่ายหุ้นปันผลและขาย LIT-W1 จะช่วยผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการหาเงินทุนจากแหล่ง B/E ที่ประสบปัญหาความเชื่อถือในช่วงต้นปี และทำให้ D/E ลดเหลือ 2.4 เท่าจาก 3.2 เท่าสิ้นปี 2016 ซึ่งเราคาดว่าจะทำให้ LIT ขยายสินเชื่อในอัตรา 25-30% ได้อีกอย่างน้อย 3 ปี แนวโน้มกำไร 1Q17 ทำ new high ต่อเนื่อง เราปรับกำไรปีนี้ขึ้นอีก 6% เป็น +31% Y-Y แนะนำซื้อ ปรับราคาพื้นฐานเป็น 14.80 บาทจาก 14 บาท (หลัง XW เป็น 12.30 บาท)
(0) HMPRO แนวโน้มกำไร 1Q17 แผ่วลง Q-Q เพราะช่วง ม.ค.-ก.พ. บริษัทยังไม่เห็นการฟื้นตัวของกำลังซื้อในต่างจังหวัดนัก แต่ในกทม.และปริมณฑลยังโตได้ดี เราคาดกำไรทั้งปีนี้โต 13% Y-Y จากสาขาใหม่ 7-10 แห่ง เน้นเปิดในกทม. และหัวเมืองขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง เน้นเพิ่มสินค้า House Brand ปรับปรุงประสิทธิภาพภายในต่อเนื่อง เราชอบ HMPRO แม้กำไรโตไม่หวือหวา เฉลี่ยปีละ 10-15% แต่ความเสี่ยงต่ำ เป็นผู้นำในตลาด Home Improvement แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 12 บาท
(0) SAMART Group แนวโน้ม SAMTEL ดูดีสุดในกลุ่ม ปัจจุบันมี Backlog 8.8 พันล้านบาท ประมาณ 4 พันล้านบาทจะรับรู้ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเซ็นงานใหม่ 1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่เซ็นงาน 7 พันล้านบาท เราปรับกำไรปีนี้ขึ้น 24% เป็น +97% Y-Y โตแรงเพราะฐานต่ำในปีก่อน ราคาพื้นฐาน 13 บาท แนะนำถือ ส่วน SIM แนวโน้มขาดทุนลดลง เรายังรอพัฒนาการใหม่ที่จะมาแทนที่ธุรกิจขายมือถือ ยังคงราคาพื้นฐาน 0.50 บาท แนะนำขาย ส่วน SAMART ฟื้นตัวตามลูก เราปรับกำไรปีนี้ขึ้นเล็กน้อย เป็น +441% Y-Y จากฐานที่ต่ำมากในปีก่อน ราคาพื้นฐาน 14.80 บาท แนะนำถือ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 มี.ค. - ยูโรโซน: 4Q16 GDP
8-มี.ค. - ญี่ปุ่น: 4Q16 GDP
- สหรัฐ:การจ้างงานภาคเอกชน (ก.พ.)
9 มี.ค. - ยูโรโซน: ECBประชุม
- จีน:อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
- ฟิลิปปินส์:ธนาคารกลาง (BSP) ประชุม
10 มี.ค. - จีน:ดุลการค้า (ม.ค.)
- สหรัฐ:การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.พ.) (ตลาดคาด +1.75 แสนราย ลดลงจากเดือนก่อนที่ 2.27 แสนราย)
14-15 มี.ค. - สหรัฐ:FOMC Meeting
14 มี.ค. - จีน:ยอดค้าปลีก, Industrial Production (ก.พ.)
- ยูโรโซน: ZEW Survey Expectations (มี.ค.)
15 มี.ค. - สหรัฐ:ยอดค้าปลีก, อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
16 มี.ค. - ญี่ปุ่น: BOJประชุม
- สหรัฐ: Housing starts & Building permits (ก.พ.)
(0) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดผสมหลังประธาน FED ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพร้อมที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวสอดคล้องกับคาดการณ์ของ FED
(0) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันศุกร์ปิดผสมเช่นกันโดยนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเยลเลนซึ่งเสร็จสิ้นหลังตลาดปิดทำการ ขณะที่ตัวเลข PMI ภาคบริการเดือน ก.พ. ของ UK ก็ออกมาต่ำสุดในรอบ 5 เดือน
(0) ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบเช่นกันหลังไร้ปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน รวมถึงมีแรงกดดันหลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธตกลงในเขตเศรษฐกิจพิเศษญี่ปุ่น
(0) ค่าเงินบาทแกว่งทรงตัวบริเวณ 35 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่อ่อนค่าขึ้นมาต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ปรับตัวขึ้น 0.72 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 53.33 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังระมัดระวังหลังปริมาณการผลิตของรัสเซียเดือน ก.พ. ยังทำได้เพียงแค่ทรงตัวจากเดือน ม.ค.
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ร่วงลง 6.40 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,226.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังประธาน FED ส่งสัญญาณว่ามีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch