- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 02 March 2017 17:37
- Hits: 1381
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
สดใสตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับขึ้น โดยตลาดฯ ตอบรับในเชิงบวกจากสุนทรพจน์ของ ปธน.สหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรส (เช้าวานนี้ ตามเวลาไทย) ที่โดยรวมอยู่ในความคาดหมายก่อนหน้านี้บ้างแล้ว โดยเฉพาะแผนปรับลดภาษี ทั้งเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล พร้อมงบประมาณใช้จ่ายโครงการสาธารณูปโภค ที่สูงถึง 1.0 ล้านล้านUSD ซึ่งคาดส่งผลดีต่อเศรฐกิจของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ยังไม่มีการส่งสัญญาณการกีดกันทางการค้า ทำให้คาดเป็นผลดีต่อประเทศคู่ค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงไทย (สัดส่วนประมาณ 10%ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 700,000 ล้านบาท/ปี)
แนะติดตามการประชุมเฟด (14 – 15/3/60) โดยเฉพาะประเด็นการพิจารณาขึ้น / ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ล่าสุดเจ้าหน้าที่
เฟดหลายสาขา ส่งสัญญาณสนับสนุนให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมนี้ และจากภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ พบว่ามีโอกาสสูงถึง 69% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ และภายใต้ประเด็นดังกล่าวคาดส่งผลต่อ (1) เงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น คาดทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายเป็นเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง และ (2) Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย
ขณะที่ในระยะกลาง มีการเลือกตั้งของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ตามลำดับ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองก็จะกดดันภาพรวมตลาดในระยะต่อไป
ทางด้านราคาน้ำมัน คาดในระยะสั้นยังมีความผันผวนจาก (+) แผนการปรับลดปริมาณผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้ง OPEC และ Non OPEC (-) ปริมาณผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยังคงมีความกังวลอุปทานส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม คาดระดับราคาน้ำมันในปี’60 อยู่ในระดับที่สูงกว่าปี’59 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 41 – 42USD ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับลดลง
ทางด้านประเด็นในประเทศ ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ หลังหมดช่วงส่งงบ ดัชนีอาจมีการปรับลดลงจากแรงขายทำกำไร หรือ Sell on Fact ทำให้การปรับขึ้นยังอาจเป็นไปอย่างจำกัด
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ
SET SET50 SET100
1,567.19 +7.63 985.94 +7.48 2,223.89 +15.96
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +303.31, NASDAQ +78.59, S&P +32.32, FTSE +119.46, CAC +102.25 และ DAX +232.78
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีของสหรัฐฯ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนทุ่มงบประมาณ 1 ล้านล้านUSDในการลงทุนโครงการสาธารณูปโภค ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส (ช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาไทย) รวมถึงประกาศแผนการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ การปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมือง และแผนปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับชนชั้นกลาง และเงินได้นิติบุคคลสำหรับภาคธุรกิจ
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ภายใต้คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในเดือนนี้ (14-15/3/60) โดยคาดช่วยเพิ่มกำไรจากอัตราดอกเบี้ยของภาคธนาคาร และคาดการณ์เกี่ยวกับการผ่อนคลายกฎระเบียบ โดยเฉพาะการแก้ไขกฏหมายดอดด์-แฟรงค์ ซึ่งเป็นกฏหมายที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เคยใช้กู้วิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงปี’50 - 52 ซึ่งมีความเข้มงวดในการทำธุรกรรมทางการเงินในด้านต่างๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อ
ขณะที่ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ส่งสัญญาณการใช้นโยบายกีดกันการค้าในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ ทำให้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
18.04 1.92 3.02
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 42,033.67
สถาบัน 1,604.27
บัญชีหลักทรัพย์ 544.75
ต่างประเทศ -938.32
ในประเทศ -1,210.70
(3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น SCC
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี 60 ที่โดดเด่น เช่น ANAN, SPALI และ SC
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น STEC, SYNTEC และ UNIQ
(5) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(6) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(7) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจสนามบิน เช่น AOT คาดได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มต่อเนื่อง
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.10 อยู่ที่ 2.46%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.38 อยู่ที่ 12.54
หุ้นแนะนำ : IVL
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788