- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 February 2017 23:38
- Hits: 9911
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อหุ้นดีจังหวะอ่อนตัว'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SVI (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวต่อเล็กน้อย 2.73 จุดปิดที่ 1564.59 โดยมีทั้งเลือกซื้อและขายทำกำไร แต่โดยรวมส่วนใหญ่หุ้นแกว่งในกรอบ นักลงทุนแต่ละกลุ่มซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก สำหรับปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
จับตาทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสเช้า 1 มี.ค. (เวลาไทย) ซึ่งอาจเปิดเผยแผนลดภาษีและลงทุนในสาธารณูปโภค
/- การแข็งค่าของเงิน US$ ชี้ว่าตลาดหวังมาตรการทรัมป์จะหนุนเงินทุนไหลเข้าและชะลอการไหลออกไปลงทุนข้างนอก และกระตุ้นการใช้จ่ายภายใน เช่น การเรียกเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าสหรัฐเพิ่ม แต่ลด/ยกเว้นภาษีรายได้จากการส่งออก ลดภาษีบุคคลธรรมดาชั้นกลาง เป็นต้น
+ คาดส่งออกเดือนม.ค.60 ขยายตัวแข็งแกร่งกว่า 10%YoY หนุนโดยสินค้าเกษตรส่งออก
+ AP : คาดกำไรปี 60-61 จะโตได้ 19-20% ต่อปี จากการโอนคอนโดมากขึ้น และใน 2Q60 จะเปิดขายคอนโด 3 โครงการรวม 1.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีทำเลใกล้รถไฟฟ้า & ใต้ดิน ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่าการอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อลงทุน ราคาพื้นฐาน 8 บาท/หุ้น
+ LPH : กำไร 4Q59 เท่ากับ 33 ล้านบาท -24%QoQ แต่ -10%YoY เพราะรายได้คนไข้ประกันสังคมต่ำกว่าคาด, ตั้งสำรองฯ 2.6 ล้านบาทรองรับรายได้จากประกันสังคมที่ยังไม่ได้รับ และมีค่าใช้จ่ายในการเปิดศูนย์เฉพาะทางตึกใหม่ แต่กำไรทั้งปี 59 ยังเติบโต 34% และคาดว่าปี 60 ยังขยายตัวต่อได้ดี 39% แนะนำซื้อจังหวะอ่อนตัว ราคาพื้นฐาน 10.80 บาท/หุ้น
+ GFPT : คาดไก่ส่งออกได้อานิสงค์ทางบวกจากไข้หวัดนกระบาดในจีน ทำให้ส่งออกไปญี่ปุ่น & เอเชียปีนี้สดใส คาดกำไร 1Q60 ของ GFPT จะเติบโตกว่า 35%YoY เพราะมาร์จิ้นที่ยังคงสูงมากราว 16+/-% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 17.40 บาท/หุ้น
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing ต่อเนื่อง ทั้งนี้หุ้นไทยปี 60 น่าจะผันผวนขึ้นหลังปรับขึ้นมากในปีก่อน หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานดีที่แนะนำวันนี้เป็น GFPT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นลบ เน้นซื้ออ่อนตัว แนวรับ 1560-1550 จุด กรณีรีบาวด์มีแนวต้าน 1570-1585, 1590 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SPRC, SPCG, TAPAC, WICE, TLUXE ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PACE, HANA, SYNEX, PERM หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ BSBM หุ้นหลุด List เป็น DTAC, BPP
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ :
สหรัฐ : จับตาทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสเช้าพุธ 29 ก.พ. (เวลาไทย)
จับตาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในคืนวันอังคารที่ 28 ก.พ. หรือตรงกับช่วงเช้าของวันพุธที่ 1 มี.ค.ตามเวลาไทย โดยตลาดคาดว่าเขาจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภค
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งเกินคาดในเดือนก.พ.
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐอยู่ที่ระดับ 96.3 ในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 96.0 และใกล้เคียงกับระดับ 98.5 ที่ทำไว้ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2004
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย รอฟังสุนทรพจน์ทรัมป์สัปดาห์นี้
เมื่อวันศุกร์ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 11.44 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 20,821.76 จุด ดัชนี S&P500 บวก 3.53 หรือ 0.15% ปิดที่ 2,367.34 จุด ดัชนี NASDAQ ปรับขึ้น 9.80 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 5,845.31 จุด นักลงทุนจับตาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในคืนวันอังคารที่ 28 ก.พ. หรือตรงกับช่วงเช้าของวันพุธที่ 1 มี.ค.ตามเวลาไทย
สัญญาน้ำมันดิบ : แกว่งแคบ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.84% ปิดที่ 53.99 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 1.04% ปิดที่ 55.99 ดอลลาร์/บาร์เรล ตลาดน้ำมันแกว่งในกรอบแคบ โดยยังไม่มีปัจจัยที่มีนัยสำคัญใหม่ๆเข้ามา ด้านบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่แล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 แท่น สู่ระดับ 602 แท่น ทำให้แท่นน้ำมันที่มีการใช้งาน มีจำนวนมากกว่า 600 แท่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2015
+ สัญญาทองคำ : ขยับขึ้นต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 6.90 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ระดับ 1,258.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.ปีที่แล้ว และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำทะยาน 1.6% โดยเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
ปัจจัยในประเทศ :
+ คาดส่งออกม.ค.60 จะเติบโตเป็นเลขสองหลัก
ส.อ.ท.คาดมูลค่าส่งออกของไทยเดือนม.ค.60 ที่กระทรวงพาณิชย์จะประกาศสัปดาห์นี้จะเป็นบวกกว่า 10%YoY เนื่องจากการส่งออกหลายสินค้าขยายตัวดี เช่น สินค้าเกษตร เป็นต้น
+ กลุ่มไก่ส่งออก : ไข้หวัดนกยังคงระบาดในจีน
# ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H7N9 ยังคงแพร่ระบาดในจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 79 คนในเดือนม.ค.60 ที่ผ่านมา และหากนับตั้งแต่เดือนต.ค.59 พบว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะไข้หวัดนกพันธุ์นี้แล้วราว 100 คน ขณะนี้ทางการจีนกำลังเร่งจัดการเรื่องนี้เพราะราคาไก่ในประเทศร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปีหลังประชาชนลดการบริโภคลงมาก
# นับเป็นโอกาสของไก่ส่งออกของไทยที่จะส่งออกได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น (เดิมเคยนำเข้าจากจีนและงดการนำเข้าเมื่อเกิดไข้หวัดนก), มาเลเซีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้ เราประเมินว่าปริมาณส่งออกไก่ของไทยปี 60 มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 3% ที่ทางสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยตั้งไว้ โดยมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 6-8% ตลาดที่คาดว่าจะเติบโตได้แข็งแกร่งทั้งที่เป็นไก่แช่แข็งและไก่ปรุงสุก คือ ญี่ปุ่นและเอเชีย ขณะที่ตลาดยุโรปดีขึ้นในแง่ของการต่อรองราคาที่คาดว่าจะลดลงหลังภาวะเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ประกอบกับยังมีไข้หวัดนกในบางประเทศด้วย
# แนะนำซื้อ GFPT ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไก่ส่งออกครบวงจร โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 1Q60 จะเติบโตแข็งแกร่งกว่า 35%YoY จากกำไรสุทธิ 275 ล้านบาทใน 1Q59 ทั้งนี้แม้ว่าจะเป็น Low season ของการส่งออก แต่มาร์จิ้นยังอยู่ในเกณฑ์สูง 16+/-% เพราะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก (อัตรากำไรขั้นต้น 1Q59 เท่ากับ 11.5%) ให้ราคาพื้นฐานเท่ากับ 17.40 บาท/หุ้น
+ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : คาดสินเชื่อปี 60 จะเติบโตดีขึ้นเป็น 5-6% (จาก 2% ในปี 59)
# นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่าสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 60 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 5-6% จากขยายตัวเพียง 2% ในปี 59 ซึ่งเป็นผลจากการเร่งขับเคลื่อนโครงการลงทุนของภาครัฐ กำลังซื้อในระบบขยับขึ้นและการส่งออกที่ฟื้นตัวกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนหลังจากชะลอตัวมาหลายปี อุตสาหกรรมบริการและค้าปลีกขยายตัวรับการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในปี 60 (ททท.คาดรายได้ท่องเที่ยวปีนี้จะขยายตัวได้ 10%)
# อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านการด้อยค่าของสินทรัพย์ หรือ NPL ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้า SME และรายย่อย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมากและมีแนวโน้มว่าระดับ NPL อาจจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 60 นี้ แล้วค่อยๆ ลดลงตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป โดยธนาคารขนาดใหญ่มีความเสี่ยงเรื่องการเพิ่มขึ้นของ NPL มากกว่าธนาคารขนาดเล็กที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ที่ NPL ได้แตะจุดสูงสุดไปใน 1-2 ปีก่อนหน้านี้แล้ว
# เราประมาณการว่ากำไรธนาคารขนาดเล็กรวมกัน (KKP, TCAP, TISCO) จะเติบโต 15% ในปี 60 ขณะที่กำไรของธนาคารขนาดใหญ่รวมกัน (BBL, KBANK, KTB, SCB, TMB) จะขยายตัวเป็นเลขหลักเดียวต้นๆ ให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น Neutral สำหรับหุ้นแบงค์ใหญ่ที่ราคาพื้นฐานมี Upside มากกว่าตัวอื่นในกลุ่ม คือ SCB และ TMB โดยมี Upside 11-12% ส่วนแบงค์เล็กเป็น TISCO และ TCAP ที่ 11%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]