- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 February 2017 23:12
- Hits: 1124
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET…sideway down
เมื่อวันศุกร์ตลาดแกว่งตัวในกรอบแคบที่ 1561-1568 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยทั้งบวกและลบ จนทำให้ปิดตลาด -2.73 จุดหรือ -0.17% ปิดที่1564.59 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง 41,604 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิที่ 284 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิเล็กน้อย 3วันติดต่อกัน สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ก่อน ซึ่งหากค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเราก็อาจเห็นนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องได้ในช่วงนี้ ซึ่งน่าจะช่วยพยุงให้ดัชนีสามารถยืนเหนือระดับแนวรับสำคัญที่ 1550 จุดได้
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกได้แก่ การจับตาดูว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะมีการประกาศนโยบายภาษี (ลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 35% เหลือ 15%) ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาพคองเกรสในวันที่ 28ก.พ. 60 หรือไม่ โดยตลาดคาดว่าเขาจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลในวันดังกล่าว จากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ "ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า" ซึ่งการกล่าวปราศรัยของปธน.ทรัมป์ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 28 ก.พ.จะตรงกับช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์ที่เขาได้สัญญาไว้ นอกจากมาตรการปฏิรูปภาษีแล้ว ตลาดยังคาดการณ์ว่าปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภคในวันดังกล่าวเช่นกันการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ต่อสภาคองเกรสในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการประชุมร่วมระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้มีขึ้นตามคำเชิญของนายพอล ไรอัน ประธานรัฐสภาสหรัฐ และจะเป็นการกล่าวแถลงต่อสภาคองเกรสเป็นครั้งแรกของนายทรัมป์ นับตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
หากปธน. ทรัมป์มีการประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่จริง จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจะไหลกลับเข้าไปที่สหรัฐฯส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง ยิ่งถ้าหากเฟดมีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมี.ค. นี้ด้วยก็ยิ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์จะยิ่งแข็งค่าขึ้น ดังนั้นในกรณีนี้เราแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากทั้งการปรับลดอัตราภาษีของสหรัฐและค่าเงินบาทที่อาจจะกลับมาอ่อนค่าได้ โดยบริษัทที่จะได้ประโยชน์ในทั้ง 2 ด้านคือ IVL และTU ซึ่งต่างก็มีฐานการผลิตที่สหรัฐและมีรายได้ในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลัก โดย TU น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าเนื่องจากยอดขายกว่า40% อยู่ในสหรัฐและรายได้ส่วนใหญ่ 65% ก็อยู่ในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย เราแนะนำ ซื้อทั้ง TU และ IVL โดยมีราคาเป้าหมาย 24.75บาทและ 54 บาทตามลำดับ
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/59 ที่ทยอยประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ มีบริษัทที่ประกาศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดที่คาดว่าจะช่วยหนุนราคาหุ้นให้ปรับขึ้นได้ในวันนี้ประกอบด้วย BANPU SVI PYLON CPF และ M ในขณะที่บริษัทที่ประกาศผลกำไรออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดซึ่งอาจมีแรงขายออกมาในวันนี้ประกอบไปด้วย TFG JWD LPH WICE RCL SAPPE TK CHG XO ALT BEAUTY STPI และ UNIQ
หากพิจารณาในช่วงที่ผ่านมาที่มีการทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/59 ออกมา เราจะเห็นได้ว่าบริษัทที่มีการประกาศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (มากกว่า 10%) และมีแนวโน้มว่าตลาดจะมีการปรับเพิ่มประมาณการผลกำไรและราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด
(outperform) ค่อนข้างมากอย่างเช่น TMB KKP ADVANC SPRC TASCO TOP ROBINS RATCH AMATA TMT SGP WORK PTTGC และ MC ดังนั้นกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนในช่วงนี้ที่เป็บแบบ selective buy คงต้องเน้นเลือกไปในหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้และยังมี upside สูงจากราคาเป้าหมายของ consensus โดยหุ้นที่อยู่ในข่ายดังกล่าวที่เราแนะนำประกอบไปด้วย BANPU เราให้ราคาเป้าหมาย25 บาท, ADVANC เราให้ราคาเป้าหมาย 186 บาท, TOP เราให้ราคาเป้าหมาย 94 บาท, SGP เราให้ราคาเป้าหมาย 15.50 บาทและ ROBINS ทาง Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมาย 69 บาท (Buy/Hold/Sell : 15/5/4)
วันนี้เราคาดว่านักลงทุนจะยังคงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวดีกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมาออกมาอย่างกลุ่มธนาคาร, พลังงาน, ICT และวัสดุก่อสร้างออกมา เนื่องจาก upside ที่จำกัดลงและอาจเริ่มมีการเปลี่ยนกลุ่ม (sector rotation) ไปในหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวแย่กว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมาจนราคาหุ้นกลับมาถูกอีกครั้งและผลกำไรจะมีการฟื้นตัวได้ในปีนี้อย่างกลุ่มค้าปลีก (BJC CPN CPALL GLOBAL ROBINS) โรงแรมและการท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BCH BDMS) อาหาร (BR) โดยวันนี้มองแนวต้านที่ 1572-1580 และแนวรับที่ 1550-1560 จุดวันนี้แนะนำ ซื้อเก็งกำไร BANPU BR CPF KCE
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary…
SET ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,558.40 จุด ลดลง 6.19 จุด(-0.40%) มูลค่าการซื้อขาย 17,883.13 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 1,562.86จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 1,555.52 จุด
Afternoon Perspective…
แนวโน้มตลาดบ่าย แกว่งลงภาพรวมยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัว โดยตลาดยังอยู่ในช่วงช่วงปรับฐาน ซึ่งเรามองจุดรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1545-1548 จุด ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ย 75 วัน ซึ่งโดยปกติจะมีการรีบาวน์กลับอย่างน้อย 1 ครัง้ ที่ระดับดังกล่าว ระยะสัน้ แนะนำ ให้รอเข้าซื้อที่ระดับ1545 จุด กลยุทธ์ ระยะสัน้ ๆ กลับมาเน้นหุ้นรายตัวที่มีปจั จัยหนุน หุ้นแนะนำเก็งกำไร TASCO โดยมีประเด็นบวก จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1H/17 จะฟื้นตัวกลับขึ้นมา เนื่องราคายางมะตอยปรับตัวสูงขึ้นถึง30% ในเดือนม.ค. ในขณะที่ปริมาณการขายจะกลับมาเติบโตสูงจากงบลงทุนด้านโครงสร้างฟื้นฐานที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Bloomberg consensus target price ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 28 บาท
Technical Pick (PM) ...
NCL International Logistics (NCL TB; THB 2.24) – ซื้อ
Dhipaya Insurance (TIP TB; THB 46.25) – ซื้อ
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 – [email protected]/ [email protected]