- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 24 January 2017 19:07
- Hits: 2780
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 7.80 จุด ปิดที่ 1570.79 โดยมีการเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการปี 59 และเงินปันผลที่ทยอยประกาศออกมาถึงราวสิ้นเดือนก.พ.60 นักลงทุนแต่ละกลุ่มซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก ปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
•/- ทรัมป์เซ็นยกเลิก TPP แล้ว...ตลาดกังวลนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์จะนำไปสู่สงครามการค้าโลกและเป็นลบกับสหรัฐในที่สุด
• กระทรวงพาณิชย์เชื่อทรัมป์ยกเลิก TPP ไม่กระทบไทย เร่งเจรจา RCEP ให้จบภายในปี 60 ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์ส่วนนี้
• ผลสำรวจ Bloomberg คาดส่งออกเดือนธ.ค.59 ของไทยเติบโตแกร่ง 9%YoY
• ระบบพร้อมเพย์เริ่มใช้ 27 ม.ค.60...คาดกระทบกลุ่มแบงค์ไม่มากในช่วงแรกเพราะคนยังใช้น้อย แต่จะมากขึ้นในระยะต่อไป
+ AOT ประชุมผู้ถือหุ้นขออนุมัติแตกพาร์ 27 ม.ค.นี้ คาดกำไรงวดปี 60 +15% (จาก +4.5% ในปี 59)...แนะนำซื้อ TP : 455 บาท
•/+ จับตาผลประกอบการ 4Q59 และปี 59 รวมถึงการประกาศจ่ายปันผลบริษัทจดทะเบียน
• จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing ต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดหุ้นปีนี้มีแนวโน้มผันผวน ความเสี่ยง FX มากขึ้น และเริ่มต้นปีบน Index ที่สูง หุ้นพื้นฐานแนะนำเป็น AOT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1580-1590 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1560 จุดดูไม่ค่อยดี ควรลดพอร์ตตาม/Stop Loss สำหรับการ Trading
สำหรับหุ้น SCAN ทางเทคนิคที่เข้ามาใหม่เป็น TISCO, PYLON, MCS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ LHBANK, FORTH, TWPC, JWD หุ้นแนะนำที่หาจังหวะ Take Profit เป็น KOOL, PSL, KTB, MC, PREB, PTTGC หุ้นที่หลุด List คือ GUNKUL
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศสำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
• สหรัฐ : ทรัมป์ลงนามยกเลิก TPP แล้ว
เมื่อวานนี้ประธานาธิบดีสหรัฐ คือ นายทรัมป์ ได้ลงนามยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรี TPP กับ 11 ประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว และมีรายงานว่าทรัมป์เตรียมลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อให้สหรัฐทำการเจรจาครั้งใหม่ต่อข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) กับแคนาดาและเม็กซิโก เพื่อไม่ให้สหรัฐเสียเปรียบในการทำการค้าตลาดจับตามองนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์อย่างใกล้ชิด โดยหลายฝ่ายประเมินว่านโยบายของทรัมป์อาจก่อให้เกิดสงครามการค้าทั่วโลก ซึ่งก็จะเป็นผลลบกับสหรัฐเองในที่สุด
-/• ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนตัว...กังวลนโยบายการค้าทรัมป์
นักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สะท้อนการกีดกันทางการค้า โดยล่าสุดทรัมป์ได้ลงนามถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงการค้าเสรี TPP อย่างเป็นทางการแล้ว รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ลดลงก็ร่วมกดดันตลาดด้วย ปิดตลาดดัชนี DJIA ลดลง 27.40 จุด หรือ -0.14% ดัชนี NASDAQ ลดลง 2.39 จุด หรือ -0.04% และดัชนี S&P500 ลดลง 6.11 จุด หรือ -0.27%
- ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงเพราะกังวลสหรัฐผลิตเพิ่ม
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 52.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 26 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 55.23 ดอลลาร์/บาร์เรล กดดันโดยรายงานของเบเกอร์ ฮิวจ์ ที่ระบุว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ม.ค.เพิ่มขึ้น 29 แท่น สู่ระดับ 551 แท่น ส่วนการประชุมติดตามลดปริมาณผลิตของกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกเมื่อวันเสาร์ที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่าแต่ละประเทศปฎิบัติตามข้อตกลงเป็นอย่างดี
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นหลังกังวลนโยบายทรัมป์
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 10.7 ดอลลาร์ หรือ 0.89% ปิดที่ระดับ 1,215.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ :
• กระทรวงพาณิชย์จะรายงานตัวเลขส่งออกของเดือนธ.ค.วันนี้
ในวันนี้กระทรวงพาณิชย์จะรายงานตัวเลขส่งออกของเดือนธ.ค.59 ซึ่งตัวเลขสำรวจของ Bloomberg คาดว่าตัวเลขของเดือนนี้จะ +9.4%YoY
• สหรัฐยกเลิก TPP ไม่กระทบไทย...รัฐบาลเร่งเดินหน้าเจรจา RCEP ให้จบในปี 60
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่าการยกเลิก TPP ของสหรัฐไม่กระทบไทยเพราะไทยไม่ได้เป็นสมาชิกแต่สิ่งที่ไทยต้องเร่งทำคือ ผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา 6 ประเทศ ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ให้ได้ข้อสรุปภายในปี 60 พราะไทยจะได้ประโยชน์จากความตกลงนี้ และถือเป็นกรอบเจรจาที่ใหญ่สุดในโลกหากไม่มี TPP ส่วนการเจรจาการค้าทวิภาคีไทย-สหรัฐจะมีหรือไม่นั้นต้องรอดูนโยบายทรัมป์ต่อไป (หลังหยุดเจรจากับสหรัฐมานานแล้ว)
+ เชื่อว่าสหรัฐยังต้องลงทุนในอีกหลายอุตสาหกรรมในต่างประเทศ
สำหรับนโยบายถอนการลงทุนของภาคเอกชนสหรัฐในประเทศต่างๆ กลับเข้ามาลงทุนในสหรัฐนั้น ทางรมว.พาณิชย์ กล่าวว่าจากการหารือกับภาคเอกชนสหรัฐในการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) ประจำปี 59 ณ กรุงดาวอส สหพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 17-20 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการยืนยันจากภาคเอกชนสหรัฐว่าการถอนการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก เพราะในสหรัฐไม่สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายเนื่องจากไม่มีวัตถุดิบ ดังนั้นนักลงทุนสหรัฐจึงต้องออกไปลงทุนภายนอกสหรัฐ เช่น ไทย อาเซียนในหลายอุตสาหกรรม เช่น เสื้อผ้า รองเท้า อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น จะยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีการย้ายฐานการลงทุนแน่นอน
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : พร้อมเพย์เริ่มบริการ 27 ม.ค.60
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่าในวันที่ 27 ม.ค.60 ธนาคารพาณิชย์จะเปิดบริการโอนเงินระหว่างบุคคลผ่านระบบพร้อมเพย์ และจะมีการเปิดตัวบริการหลายเรื่องที่เกี่ยวโยงกันด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เพย์เมนต์) ถือเป็นการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานของระบบสถาบันการเงินความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : การเปิดบริการพร้อมเพย์กระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ แต่ในระยะสั้นยังไม่มากเพราะคาดว่าผู้ใช้บริการยังไม่เยอะเนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย แต่เมื่อผ่านปีแรกไปแล้วและถ้าไม่มีกรณีที่ต้องวิตกเชื่อว่าจะมีการใช้ระบบพร้อมเพย์มากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเป็นกระแสของโลกที่จะหันมาโอนเงิน & ซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องเร่งลงทุนวางระบบไอทีเพื่อรองรับดิจิตอลแบงค์กิ้ง ซึ่งธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่งเร่งลงทุนในด้านนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง KBANK ที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก เราให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น Neutral โดยชอบหุ้นแบงค์เล็ก (Top Pick คือ TISCO ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตแกร่งในปี 60-61 รองลงมาเป็น TCAP ที่มี Valuation จูงใจ และ KKP ซึ่งเด่นในเรื่องปันผลสูง คาด Yield ปี 60 ประมาณ 7%) มากกว่าแบงค์ใหญ่ในปี 60 เพราะมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดีกว่าส่วนแบงค์ใหญ่ที่เป็นหุ้นเด่น คือ KBANK
+ AOT (ราคาปิด 393 บาท) : ประชุมผู้ถือหุ้นขออนุมัติแตกพาร์เป็น 1 บาทวันศุกร์ที่ 27 ม.ค.นี้
# ผู้บริหาร AOT ให้ Guidance ว่าในงวดปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) บริษัทคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเติบโตได้ 8-9%YoY แม้ว่าช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.59 จะมีจำนวนผู้โดยสารต่ำกว่าคาดเพราะมีเหตุการณ์บ้านเมืองและมีการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ตั้งแต่ธ.ค.59 เป็นต้นมาก็ดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวของรัฐบาลด้วย ทางด้านรายได้งวดปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) คาดว่าจะเติบโตเป็นเลขสองหลักเพราะรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจการบินมีแนวโน้มขยายตัวดี พื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์ที่สนามบินดอนเมืองและภูเก็ตเพิ่มขึ้นหลังโครงการขยายแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 59 นอกจากนั้นบริษัทเตรียมวางแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งหมดที่มีอยู่ โดยอาจถึงเอกชนมาร่วมทุนแบบ PPP ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จใน 2Q-3Q ปี 60
# ในช่วง 5 ปีนี้จะใช้เงินลงทุนสูงที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาทในการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 พร้อมอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 และรันเวย์ รวมทั้งการขยายท่าอากาศยานดอนเมืองเฟส 3 ซึ่งเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นหลัก โดยบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแกร่งปีละ 4.4-4.5 หมื่นล้านบาท
# แนะนำซื้อ โดย DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 455 บาท (พาร์ 10 บาท) ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) จะเติบโต 15% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัว 4.5% และบริษัทจะขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นแตกพาร์จาก 10 บาทเป็น 1 บาทในวันที่ 27 ม.ค.นี้ ซึ่งการแตกพาร์จะทำให้มีสภาพคล่องในการซื้อขายดีขึ้น
• SGF กลับเข้าซื้อขาย 1 ก.พ.60
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไฟเขียวให้ SGF กลับเข้าเทรดในตลาด MAI วันที่ 1 ก.พ. 60 นี้ ผู้บริหารมั่นใจ ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวัง หลังฟื้นฟูกิจการ-ปรับโครงสร้างธุรกิจ พร้อมดันผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เปิดแผนงานปี 60 ขยายไลน์ตลาดสินเชื่อรายย่อย รองรับดีมานด์ของคนกว่า 1 ใน 3 ของประเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ หนุนธุรกิจโตก้าวกระโดด
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]