- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 23 January 2017 17:29
- Hits: 4063
บล.คันทรี่ กรุ๊ป : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แนวโน้มตลาดวันนี้ (23/01/60)
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา “รอดูนโยบายทรัมป์”
ดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีอยู่ในแดนลบเสียเป็นส่วนใหญ่คาดว่าเป็นการขายลดความเสี่ยงก่อนการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และเป็นการรอดูนโยบายว่าจะไปในทิศทางใด อย่างไรก็ตามในวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีกลับมามีแรงซื้ออีกครั้ง โดยกลุ่มที่ปรับตัวลดลงมากในสัปดาห์ก่อนได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (-2.5%) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (-2.2%) ปิดตลาดวันศุกร์ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.11 จุด (+0.5%) มาที่ 1,562.99 จุด ด้วย Vol. 55,884 ล.บ. แต่รวมทั้งสัปดาห์ดัชนีปรับตัวลดลง 12.25 จุด (-0.8%)
ปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกับตลาดหุ้นวันนี้
(+/-) Trump ได้เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยยังคงยืนยันนโยบาย “America First” ในการกล่าวสุนทรพจน์ ทำให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเช่น ญึปุ่น (NIKKEI) เช้านี้ปรับตัวลงจากความกังวลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐที่จะกระทบต่อการค้าโลก
(+/-) ค่าเงิน USD ผันผวน แต่ล่าสุด Dollar Index มีการอ่อนค่าลง 0.7%WoW มาอยู่ที่ 100.69 จุด คาดเป็นผลจากการที่ Trump ต้องการให้ค่าเงิน USD อ่อนค่าลง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการส่งออกสหรัฐ ซึ่งส่งผลบวกต่อราคาสินค้า Commodity อย่างทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 0.28%Day อีกด้วย
(+) ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1% มาอยู่ที่ 52.42 US/Barrel
(+) ปลัดคลัง จะหารือกับ สศค. เพื่อเร่งสรุปมาตรการลดหย่อยภาษี 2 เท่า เพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ก่อนส่งให้ครม. อนุมัติภายใน ม.ค. นี้
(+) คาดเปิดให้บริการพร้อมเพย์ อย่างเป็นทางการ 27 ม.ค. 60
(+) กลุ่ม SAMART ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ที่ 2 หมื่นลบ. คาด I-mobile ฟื้นตัวจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่
(-) ราคายาง TOCOM วันศุกร์ที่ผ่านมาลดลงไป 1.65%Day มาอยู่ที่ 303.4 Yen/Kg และเช้านี้อ่อนตัวลงอีก คาดผลกระทบ
ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น
(-) GDP จีนปี 59 โต 6.7%YoY ซึ่งถือว่าขยายตัวต่ำสุดในรอบ 26 ปี แต่ยังอยู่ในกรอบที่รัฐบาลจีนคาดว่าจะขยายตัว 6.5%-7% (GDP 4Q59 +6.8%)
(-) กระทรวง DE ตรวจสอบการยิงดาวเทียมไทยคม 7 ประเด็นมีจีนมาร่วมทุน มีข่าวว่า THCOM ไม่ได้เป็นผู้ยิงเอง
(-) TRUE มีแผนติดตั้งตู้เติมเงินทั่วประเทศ 4 หมื่นเครื่อง ครอบคลุม 7-11 ทุกสาขา (เป็นลบต่อผู้ประกอบการรายเดิมอย่าง AJD, FSMART)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
หุ้นเข้า/ออก SET 50 รอบ 1H60 (คาดหุ้นเข้า ได้แก่ GL, THAI, GLOBAL, SPRC, JAS, PTG, SCCC, RATCH และหุ้นออก ได้แก่ TASCO, SAWAD, TTW, WHA, BEC, TPIPL, BCP, MTLS)
ประชุมกลุ่ม OPEC ที่กรุงเวียนนา (23 ม.ค.)
เริ่มเข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการ 4Q59 เริ่มด้วยกลุ่ม BANK
ตัวเลขสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดขายรถยนต์ใหม่เดือน ธ.ค. ของไทย (23 ม.ค.), ดัชนึความเชื่อมั่นผู้บริโภค EU (23 ม.ค.), ยอดขายบ้านมือสองสหรัฐ (24 ม.ค.), PMI เดือน ม.ค. ของเยอรมัน (24 ม.ค.), ดุลบัญชีการค้าของญี่ปุ่น (25 ม.ค.), ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมันเดือน ก.พ. (26 ม.ค.), ยอดขายบ้านใหม่สหรัฐ (26 ม.ค.), อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ้น (27 ม.ค.)
กลยุทธ์การลงทุน “เลือกรายตัว”
ประเมินดัชนีวันนี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เรามองว่าราคาน้ำมันดิบที่แกว่งตัวขึ้น จะหนุนให้มีการเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน สำหรับกลุ่มที่เปราะบางต่อการขายลดความเสี่ยง คือกลุ่มส่งออกที่มีลูกค้า USA เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหารกระป๋อง ที่เปราะบางต่อแนวทางเศรษฐกิจแนวชาตินิยม (America First) แนะนำเก็งกำไรเฉพาะกลุ่มที่มีปัจจัยเด่นเฉพาะ เช่นโมเมนตัมบวกจากเทศกาลตรุษจีน และราคาน้ำมันที่แกว่งตัวขึ้นรอการลดกำลังผลิตจากฝั่ง OPEC โดยเรายังมองภาพรวมของตลาดยังอยู่ในกรอบที่มี Upside จำกัด แนะนำเพียงเก็งกำไรระยะสั้น
หุ้นเด่นประเด็นร้อน
SGP เก็งกำไร
ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้ราคา LPG ปรับตัวบวกต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 60
คาดกำไรช่วง 4Q59 แข็งแรงจากราคา LPG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ
AAV เก็งกำไร
เข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาส 1 จากช่วงเทศกาลตรุษจีน
Hedge ราคาน้ำมันไปราว 70% ลดความเสี่ยงจากตลาดน้ำมันขาขึ้น CGS
ประเมินกำไรปี 59-60 ขยายตัว 100% และ 14%
ทีมวิเคราะห์