- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 06 August 2014 16:19
- Hits: 2178
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อตามค่าบวก,ถือเมื่อยืนเหนือ 1520”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : VGI (จากซื้อเป็นถือ)
ภาพตลาดวันก่อน : ดัชนีปรับขึ้นต่อ โดยปิดที่ 1528.98 (+9.60 จุด) มูลค่าซื้อขายเกือบ 5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนยังเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการบจ.ในช่วง 2H57 และปี 58 เป็นปัจจัยหนุน รวมทั้งการเปิดขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ โดยเมื่อวานนี้สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2.75 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือขายสุทธิ
ปัจจัยและกลยุทธ์ : ประชุมกนง.วันนี้ (6 ส.ค.) คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% เพราะอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบันยังเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบ V-Shape ใน 2H57 และเติบโตอัตราที่เร่งตัวขึ้นในปีหน้า ปัจจัยที่ยังคงมีน้ำหนักต่อการลงทุนช่วงนี้เป็นรายงานผลประกอบการบจ.และแนวโน้มธุรกิจ ซึ่งโดยรวมมองว่าน่าจะมีภาพเป็นบวกมากกว่าลบ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นบางตัวที่ปรับขึ้นรับข่าวล่วงหน้าไปมากก็มีโอกาสผันผวนหรือแกว่งลงจากแรงขายแบบ Sell on fact ก่อน แล้วค่อยกลับเข้าไปซื้อรอบใหม่ในภายหลังความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกยังคงมีอยู่ เช่น ปัญหาการเมืองของชาติตะวันตกกับรัสเซีย, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ, การฟื้นตัวที่เปราะบางของภาคการเงินและเศรษฐกิจในยูโรโซน ฯลฯ ซึ่งหากประเด็นเหล่านี้พัฒนาไปในทางลบมากขึ้น ก็จะกดดันตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยมากขึ้นกลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือต่ำกว่า 1520 จุดดูไม่ดี โดยมีสิทธิอ่อนตัวไปที่ 1480, 1450 จุด นักลงทุนที่มีหุ้นเยอะและมีเงินสดเหลือน้อยควรลดพอร์ตตาม ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1535-1540, 1550 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น ASP
Fundamental Pick
ASP แนะนำซื้อเก็งกำไรราคาปิด 3.86 บาท เป้าหมาย 4.20 บาท*
* เป็นราคาเป้าหมายทางเทคนิค
* คาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลระหว่างกาลดี โดยนักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 0.10 บาท/หุ้น โดยบริษัทมีกำไรสุทธิในงวด 1H57 เท่ากับ 350 ล้านบาท (EPS : 0.17 บาท) ณ ราคาปิด 3.86 บาทคิดเป็น Interim Dividend Yield 2.6% (โดยปกติจะขึ้น XD สำหรับปันผลระหว่างกาลประมาณต้นก.ย.)
* แนวโน้มผลประกอบการ 3Q57 คาดว่าจะชะลอตัวลง QoQ แต่ยังอยู่ในระดับ 200+/- ล้านบาท โดยปัจจัยที่ทำให้กำไรลดลงจาก 255 ล้านบาทใน 2Q57 คือ รายได้จากวาณิชธนกิจที่น้อยลง เพราะใน 2Q57 มีดีล IPO คือ SAWAD และ ICHI รวมถึงกำไรจากพอร์ตการลงทุนที่อาจจะน้อยกว่า 2Q57
* แนะนำซื้อเก็งกำไร เพื่อรับปันผลระหว่างกาล ณ ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/E ปี 57 เท่ากับ 11เท่า อยู่ในระดับปานกลางของบริษัท ในทางเทคนิคให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 4.20 บาท
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+/- สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด...ปลุกกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น
* มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุดมาร์กิต อิโคโนมิกส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 60.8 ในเดือนก.ค.ขณะที่สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.7 ในเดือนก.ค. (สูงสุดในรอบ 8 ปีครึ่ง) จาก 56 ในเดือนมิ.ย. ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าที่ผลิตในโรงงานสหรัฐปรับตัวขึ้น 1.1% ในเดือนมิ.ย.
+ ยูโรโซน : ดัชนี PMI ภาคบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
* ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของยูโรโซนในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.2 เมื่อเทียบกับ 52.8 ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้กิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการของยูโรโซนในเดือนก.ค.มีการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2554
+ ยูโรโซน : ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น
* สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปหรือยูโรสแตทเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของยูโรโซนเพิ่มขึ้น0.4%MoM ในเดือนมิ.ย. และขยายตัวขึ้น 2.4%YoY เนื่องจากยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 0.5%MoMในภาคธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ การขยายตัวในภาคธุรกิจที่ไม่ใช่อาหาร 0.3%MoM แต่ส่วนของเชื้อเพลิง -0.1%MoM
- จีน : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค.ลดลงมาแตะ 50
* เอชเอสบีซี โฮลดิงส์เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนในเดือนก.ค.ลดลงแตะ 50.0 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 9 ปี เมื่อเทียบกับ 53.1 ในเดือนมิ.ย.
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรง วิตกสถานการณ์ในยูเครน
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,429.47 จุด ร่วงลง 139.81 จุด หรือ -0.84% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,352.84 จุด ลดลง 31.05 จุด หรือ -0.71% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,920.21 จุดลดลง 18.78 จุด หรือ -0.97% นักลงทุนวิตกว่าสถานการณ์ในยูเครนอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังมีการประเมินกันว่ารัสเซียอาจมีแผนโจมตียูเครนเพราะเพิ่มกำลังทหารบริเวณชายแดนและกองทัพอากาศของรัสเซียยังได้มีการฝึกซ้อมเครื่องบินรบกว่า 100 ลำเป็นเวลา 5 วัน
- สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง แต่ไม่รุนแรง
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 91 เซนต์ ปิดที่ 97.38 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 80 เซนต์ ปิดที่104.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้มีกระแสคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐอาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวของราคาน้ำมันก็จำกัดด้วยความวิตกกังวลกับสถานการณ์ในยูเครนว่าอาจจะเข้มข้นขึ้น หลังจากรัสเซียเพิ่มกองกำลังทหารบริเวณชายแดน และมีการซ้อมรบทางอากาศด้วย
- สัญญาทองคำ COMEX อ่อนตัวลง
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 3.6ดอลลาร์ หรือ 0.28% ปิดที่ 1,285.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยที่กดดัน คือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง และกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ทำให้ค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้น
ปัจจัยในประเทศ
• คาดกนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2%ในการประชุมวันนี้
* กนง.ประชุมวันนี้ (6 ส.ค.) คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วันไว้ที่ 2.00% ทั้งนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H57 และเติบโตในอัตราเร่งตัวในปี 58 ซึ่งทาง DBS Bankประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยปี 57 จะขยายตัว 1.6% และเติบโต 3.8% ในปี 58
* ปัจจัยเสี่ยง คือ ธุรกิจบางกลุ่มมีการฟื้นตัวช้า เช่น กุ้ง, ยางพารา, น้ำตาล เป็นต้น ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน
- ESSO ต้องจ่ายค่าปรับ 436 ล้านบาท คิดเป็น 0.13 บาท/หุ้น
* ESSO ต้องจ่ายค่าปรับ 436 ล้านบาท บริษัทเปิดเผยกรณีที่บริษัทมีคดีข้อพิพาทกับกรมศุลกากรในข้อหาสำแดงเท็จเกี่ยวกับการนำเข้าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานในปี 2530 และปี 2531...เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2557 ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทำให้บริษัทจะต้องชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน 435,787,000 บาทภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือภายในระยะเวลาที่ขยายออกไปตามที่ศาลจะอนุญาต
* มีเงินสดในมือพอจ่าย บริษัทได้บันทึกรายการดังกล่าวไว้เป็นหนี้สินแล้วในงวด 1Q57 แต่เมื่อต้องจ่ายค่าปรับจริงก็จะมีผลทำให้กระแสเงินสดลดลงไป 0.13 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตาม ณสิ้นมี.ค.57 บริษัทมีเงินสดในมือ 930 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการชำระค่าปรับจำนวน 436ล้านบาทดังกล่าวข้างต้น
+ L&E จะขอย้ายเข้า SET เปิดช่องให้สถาบันเข้าลงทุนได้มากขึ้น...ลุ้นได้งานไฟโคมกฟภ.
* L&E จะขอย้ายเข้า SET แหล่งข่าวคาดว่าคณะกรรมการบริษัท L&E จะอนุมัติให้บริษัทขอย้ายเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET ภายในเดือนส.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยให้หุ้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนประเภทสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
* ผู้บริหารคาดการณ์ว่ารายได้ 2H57 จะเติบโตดีกว่า 1H57 โดยขณะนี้มี Backlog อยู่ประมาณ 1 พันล้านบาท คาดว่ารายได้ปี 57 จะขยายตัว 15-20%YoY เป็น 2.8-3.0 พันล้านบาท
* คสช.มีนโยบายเปลี่ยนหลอดไฟทั่วประเทศเป็น LED โดยมีจำนวนราว 4 แสนกว่าโคม มูลค่าเกือบ 8 พันล้านบาท ซึ่ง L&E เป็นผู้ผลิตโคมไฟ อุปกรณ์ และหลอด LED โดยตรงจึงมีแผนที่จะเข้าประมูลงานนี้ และผู้บริหารเชื่อว่ามีโอกาสได้งานค่อนข้างสูง ทั้งนี้การเปลี่ยนหลอดไฟ LED ของภาครัฐได้ดำเนินการมาบ้างแล้วที่ 1.2 หมื่นโคมในพื้นที่จ.เชียงใหม่และจ.ขอนแก่น ซึ่งบริษัทได้งานมา 50% มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท (จะรับรู้รายได้ใน 3Q57) ส่วนอีก 50% ยังไม่ได้มีผู้ประกอบการใดที่ได้รับงาน
* เติบโตดีในปี 57 แต่ P/E หุ้นไม่ได้ต่ำมาก ใน 1Q57 บริษัทมีรายได้ 590 ล้านบาท (+18%YoY) และมีกำไรสุทธิ 26.5 ล้านบาท (+25%YoY) โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 4.5% ดีขึ้นกว่างวด 1Q56 ที่ 4.2% เพราะควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดี สำหรับทั้งปี 57 ถ้ามียอดขายได้รวม 2.9 พันล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงกับ 1Q57 ก็จะมีกำไรสุทธิประมาณ 130 ล้านบาท (EPS : 0.44 บาท) ที่ราคาหุ้นปัจจุบัน 7.30 บาท ซื้อขายที่ P/E ปี 57เท่ากับ 16.6 เท่า
- RPC & TH : วิชัย ทองแตงถอนการลงทุนเพราะแนวทางธุรกิจไม่สอดคล้องกัน
- วิชัย ทองแตงประกาศถอนการลงทุนใน RPC และ TH โดยระบุชัดเจนว่าไม่มีข้อพิพาท ทั้งนี้ก่อนหน้าได้ถือหุ้นใน RPC 21.4% สาเหตุการถอนลงทุนใน RPC คือ ผู้ถือหุ้นเดิมค้านแผนเพิ่มทุนซื้อหุ้นกิจการท่าเรือและคลังน้ำมันรอบ 2 กว่าพันล้าน ส่วนถอนลงทุนจาก TH ซึ่งตามรายงานในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือหุ้นอยู่ 9.84% เพราะแผนการลงทุนไม่สอดคล้องกัน โดยทางTH ปรับแผนมุ่งธุรกิจสื่อมากกว่าพลังงาน
• การเมือง : หัวหน้าคสช.คาดว่าจะตั้งรัฐบาลได้ต้นก.ย.นี้ และตั้งสภาปฎิรูปฯเสร็จต.ค.57
* พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. กล่าวว่าเมื่อมีการตราพ.ร.ฎ.ว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสร็จแล้วจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาให้ครบทั้ง 11คณะ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 9 ส.ค.57 ส่วนสภาปฎิรูปแห่งชาติ คาดว่าจะจัดตั้งให้แล้วเสร็จและเริ่มทำงานได้ในช่วงเดือนต.ค.57 สำหรับการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีจะเสร็จเรียบร้อยไม่เกินช่วงต้นเดือนก.ย.57
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]