- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 18 January 2017 18:42
- Hits: 3210
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ซื้อ/ถือเมื่อ SET ไม่หลุด 1560
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ถอยลงอีก 4.96 จุด โดยมีการขายทำกำไรในกลุ่มแบงค์และพลังงาน นำโดยสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 900 กว่าล้านบาท ขณะที่ต่างชาติซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน สำหรับปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะเริ่มเจรจา Brexit สิ้นมี.ค.60 และใช้เวลา 2 ปีในการออกจาก EU…ตลาดมองว่านางเมย์แถลงออกมาได้ดี
Dollar Index ร่วงจาก 101.57 มาที่ 100.3 หลังทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่าแข็งเกินไป (โดยโจมตีว่าจีนพยายามทำให้หยวนอ่อนเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและกดดันสหรัฐ) ซึ่งประเด็นนี้+Brexit หนุนราคาทองคำพุ่งขึ้น 1.4% สูงสุดในรอบ 2 เดือน
สหรัฐผลิตน้ำมันดิบ 8.95 ล้านบาร์เรล/วัน สูงระดับเดียวกับปี 57 ที่เกิดภาวะ Oversupply และราคาน้ำมันร่วงแรง…การปรับขึ้นของราคาน้ำมันช่วงนี้จำกัดเพราะกังวลเรื่องนี้
ติดตามกำไร 4Q59 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์... กำไร TMB ปี 59 ออกมา -12%YoY แต่ก็ดีกว่าคาด, KBANK กำไรปี 59 ทรงตัว YoY
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return และทำ Re-balancing อย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นปีนี้มีแนวโน้มผันผวน ความเสี่ยงเรื่อง FX มีมากขึ้น รวมทั้งเริ่มต้นปีในระดับ Index ที่สูงด้วย สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BIG
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1580- 1590 การหลุดแนวฟิวเตอร์ 1560 ดูไม่ดี และควรลดพอร์ตตาม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศสำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
อังกฤษ : จะเริ่มเจรจาข้อตกลง Brexit สิ้นมี.ค.60 โดยใช้เวลา 2 ปี
นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวแถลงการณ์วานนี้ (17 ม.ค.) ระบุรายละเอียดสำหรับแผนการของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยจะหาทางทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นที่สำคัญ ทั้งนี้เชื่อว่าการแยกตัวออกจาก EU จะทำให้อังกฤษกลับมามีอำนาจใช้กฎหมายของประเทศ เพราะอังกฤษจะถอนตัวออกจากศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) ด้วย ซึ่งทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากยุโรป
อังกฤษจะเริ่มกระบวนการเจรจาข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปในช่วงสิ้นเดือนมี.ค.60 โดยจะใช้เวลา 2 ปี โดยมีหลักการเจรจา 4 ข้อ ได้แก่ 1. ความแน่นอนและความชัดเจน, 2. การทำให้อังกฤษมีความแข็งแกร่งขึ้น, 3. การทำให้อังกฤษมีสภาพที่ดีขึ้น และ 4. การทำให้อังกฤษมีความเป็นระดับโลกอย่างแท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีอังกฤษยืนยันว่าข้อตกลง Brexit ขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านการลงมติในรัฐสภา
+ สหรัฐ : ภาคการผลิตเดือนม.ค.ขยายตัวดีต่อเนื่อง
เฟดสาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัวเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนม.ค.โดยอยู่ที่ 6.5 โดยได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ ซึ่งดัชนีที่สูงกว่า 0 บ่งชี้ถึงการขยายตัว
- สหรัฐ : ตลาดหุ้นอ่อนตัวลงหลังเงินดอลลาร์ร่วงหนัก
ดัชนี DJIA ลดลง 58.96 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 19,826.77 จุด ดัชนี S&P500 ลดลง 6.75 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 2,267.89 จุด ดัชนี NASDAQ ลดลง 35.39 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 5,538.73 จุด หลังทรัมป์ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ฉบับตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเกินไป เพราะจีนพยายามทำให้เงินหยวนของตนเองนั้นอ่อนค่าลง ทำให้บริษัทของสหรัฐไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทของจีนเพราะสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเกินไป
สหรัฐ : ค่าเงิน US$ อ่อนค่าลง หลังทรัมป์มองว่าเงินสหรัฐแข็งค่ามากเกินไป
ราคาน้ำมันดิบ : แกว่งในกรอบแคบ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 52.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 55.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ตลาดยังกังวลกับการผลิตเพิ่มของสหรัฐ ซึ่งกดดันต่อการลดปริมาณผลิตตามข้อตกลงของกลุ่มในและนอกโอเปก
ทั้งนี้สหรัฐผลิตน้ำมันอยู่ที่ 8.95 ล้านบาร์เรล/วันในขณะนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 8.5 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมิ.ย.59 และอยู่ในระดับเดียวกันของปี 57 ที่เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดและราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรง ด้าน EIA ออกรายงานคาดการณ์ประจำเดือนว่าการผลิต Shale Oil สหรัฐจะเพิ่มขึ้น 41,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 4.748 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนก.พ.จากเดือนม.ค.
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้น 1.4% สูงสุดในรอบ 2 เดือนหลังค่าเงิน US$ อ่อนลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ปรับตัวขึ้น 16.7 ดอลลาร์ หรือ +1.4% ปิดที่ 1,212.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 2 เดือน ทั้งนี้ความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์และการจะเริ่มกระบวนการเจรจา Brexit ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนบางส่วนมาพักไว้ในตลาดทองคำที่มีความปลอดภัยมากกกว่า
ปัจจัยในประเทศ :
ผู้บริหารระดับสูงราว 49% เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 60 จะทรงตัว
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์สำรวจผู้บริหารระดับสูงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2560 พบว่า ร้อยละ 34.69 ระบุว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว, ร้อยละ 48.98 ระบุว่าทรงตัว และร้อยละ16.33 ระบุว่าหดตัว โดยร้อยละ 70.59 ระบุว่าจะขยายตัว 1-5% ส่วนผลสำรวจแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมปี 2560 พบว่าร้อยละ 30.61 ระบุว่าขยายตัว, ร้อยละ 46.94 คาดว่าจะทรงตัว และร้อยละ 22.45 ระบุว่าจะหดตัว
+ DRT (ราคาปิด 5.70 บาท) : ธุรกิจเติบโตแบบมีเสถียรภาพ & จ่ายปันผลสูง
# ผลประกอบการ 4Q59 คาดว่าจะชะลอตัวลง QoQ (3Q59 มียอดขาย 967 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท) เนื่องจากยอดขายเดือนต.ค.59 ชะลอตัวลงเพราะเหตุการณ์บ้านเมือง และเดือนธ.ค.มีวันหยุดยาว ในเบื้องต้นคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q59 จะอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านบาท และทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 59 เท่ากับ 393 ล้านบาท (EPS : 0.38 บาท/หุ้น) เติบโต 19%YoY ปัจจัยหนุน คือ อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ลดลงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งมีกำไรจากการขายที่ดินเข้ามาช่วยหนุนด้วย
# ยอดขายผ่าน Modern Trade เติบโตดี เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาซื้อสินค้าจาก Modern Trade มากขึ้น ส่วนสินค้าที่มียอดขายเพิ่มขึ้นดีเป็นประเภทไม้สังเคราะห์ ซึ่งเข้ามาทดแทนการก่ออิฐฉาบปูนและไม้จริง และบริษัทมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในกลุ่มสินค้านี้มากขึ้น ส่วนกระเบื้องมุงหลังคายังอยู่ในภาวะแข่งขันสูง แต่ก็ยังไปได้ดีเพราะแบรนด์ตราเพชรก็เป็นที่รู้จักของลูกค้า ด้านอิฐมวลเบา ยังคงขาดทุนสุทธิในปี 59 แต่น้อยลงเป็นประมาณ 60 ล้านบาท (จากขาดทุน 80 ล้านบาทในปี 58)
# แนวโน้มปี 60 คาดว่ายอดขายจะเติบโตประมาณ 5% โดยหลักมาจากการขยายตัวของรายได้กลุ่มไม้สังเคราะห์ และการส่งออก ซึ่งตลาดที่ดีในปี 59 และต่อเนื่องมาในปี 60 คือ ลาว ส่วนกัมพูชามีสะดุดไปบ้างในปี 59 แต่ในปี 60 คาดว่าจะดีขึ้นหลังจับมือกับ GLOBAL ในตลาดนี้ ตลาดเมียนมาร์ก็มีการเติบโต บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จากส่งออกในปี 60 จะเพิ่มเป็น 19-20% จาก 17-18% ในปี 59 สำหรับอิฐมวลเบา ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ เคาเตอร์ตราเพชร ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ผลดำเนินงานอิฐมวลเบาดีขึ้นบ้าง โดยขาดทุนสุทธิน้อยลงในปี 60 สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ในระดับ 26.5% ซึ่งใกล้เคียงกับปี 59
# Upside Risk คือ การบันทึกกำไรจากการขายที่ดิน อ.บ่อวิน จังหวัดชลบุรี ซึ่งบริษัทมีอยู่ 36 ไร่ หากขายได้สำเร็จก็จะบันทึกกำไรก้อนใหญ่เข้ามา
# คาดการณ์เงินปันผลสำหรับ 2H59 ไว้ที่ 0.15 บาท/หุ้น (เท่ากับ 1H59 ที่จ่ายไปแล้ว 0.15 บาท/หุ้น) คิดเป็น Remaining Yield ประมาณ 2.6% และประมาณการของทั้งปี 60 ไว้ที่ 0.30 บาท/หุ้นเท่ากับปีก่อน คิดเป็น Yield 5.2% ในเชิงกลยุทธ์แนะนำถือเพื่อรับเงินปันผล ให้ราคาเป้าหมาย 6.10 บาท อิง P/E ปี 60 ที่ 15 เท่า
+ BIGC (ราคาปิด 209 บาท) : ตั้งเป้าขยายกว่า 400 สาขาในปีนี้ ซึ่ง Aggressive ขึ้นมาก
นางวิภาดา ดวงรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BIGC ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มบริษัท BJC เปิดเผยแผนการดำเนินงานในปี 60 ว่าบริษัทเตรียมใช้เงินลงทุน 10,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นเปิดในรูปแบบมินิ บิ๊กซี เป็นหลักไม่ต่ำกว่า 400 สาขา เนื่องจากใช้พื้นที่ไม่มากเมื่อเทียบกับสาขาไฮเปอร์มาร์เกต ทำให้สิ้นปี 60 จะมีร้านมินิบิ๊กซีเปิดรวมกันประมาณ 800 สาขา
+ BIG (ราคาปิด 5.65 บาท) : ได้ประโยชน์จากชอปช่วยชาติ & งานโฟโต้แฟร์ & High season ท่องเที่ยว
เราคาดการณ์ว่ายอดขายของบริษัทจะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากมีปัจจัยกระตุ้นทั้งจากมาตรการชอปช่วยชาติของรัฐบาล (ซึ่งคาดว่าจะให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าที่มีใบกำกับภาษีถูกต้องในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้มาลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท/คน) มียอดขายจากงานโฟโต้แฟร์ช่วยหนุน รวมทั้งไตรมาส 4 และไตรมาส 1 เป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวทำให้ความต้องการซื้อกล้องจะสูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ทาง DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 59 ของบริษัทจะเติบโตแข็งแกร่ง 85% ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อเก็งกำไร (เล่นสั้น) การวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนำซื้อตามด้วยค่าบวก แนวต้าน 6.0, 6.5 บาท และ Stop loss ถ้าหุลด 5.30 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]