- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 16 January 2017 17:23
- Hits: 3220
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'แกว่ง/อ่อนได้แต่ไม่ควรหลุด 1555'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวันศุกร์ปิด +6.40 จุดที่ 1575.24 รายย่อยและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ ส่วนสถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิ สำหรับปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
/- การฟื้นตัวแกร่งภาคแรงงาน การบริโภคที่ขยายตัวดี และอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น (PPI ธ.ค.59 +1.6%YoY) หนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย (ตาม Fed Guidance อยู่ที่ 3 ครั้งในปีนี้) แต่สหรัฐก็มีความท้าทายว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ ถ้าทำได้น้อยกว่าคาด ตลาดก็มีสิทธิร่วงแรงได้
- มีกระแสข่าวว่าทางการจีนออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกในทางลับ แต่ทางการจีนปฎิเสธเรื่องนี้
+ ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทยจะทยอยออกมาสัปดาห์นี้มากขึ้น
- ความกังวลผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E กระทบความเชื่อมั่นหุ้นเล็กที่มี D/E สูงด้วย แต่ก็เป็นผลกระทบวงจำกัดเท่านั้น
/+ จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return และทำ Re-balancing อย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นปีนี้มีแนวโน้มผันผวน ความเสี่ยงเรื่อง FX มีมากขึ้น รวมทั้งเริ่มต้นปีในระดับ Index ที่สูงด้วย สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น ERW
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1580- 1590 การหลุดแนวฟิวเตอร์ 1555 ดูไม่ดี และควรลดพอร์ตตาม หุ้นเทคนิคเด่น DTAC, HMPRO
สำหรับหุ้น SCAN ทางเทคนิคที่เข้ามาใหม่เป็น HMPRO APCS LOXLEY
ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL PSL LHBANK PACE EKH TACC VNG FORTH BR ALT MDX
หุ้นแนะนำที่หาจังหวะ Take Profit เป็น RS หุ้นที่หลุด List คือ ITEL
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศสำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
/+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกธ.ค.เพิ่มน้อยกว่าคาดเล็กน้อย ทั้งปี 59 เติบโตดีขึ้น
ยอดค้าปลีก +0.6%MoM ในเดือนธ.ค. ดีขึ้นจาก +0.2%MoM ในเดือนพ.ย. แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะ +0.7%MoM และหากเทียบรายปีพบว่า +4.1%YoY ส่วนทั้งปี 59 นั้น +3.3%YoY ดีขึ้นจากปี 58 ที่ +2.3%YoY
สหรัฐ : ดัชนีเงินเฟ้อด้านต้นทุนเดือนธ.ค.อยู่ที่ 1.6% เป็นไปตามคาด
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) +0.3%MoM ในเดือนธ.ค.สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI +1.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.57
- ญี่ปุ่น : ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานเดือนพ.ย.ลดลง
ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของภาคเอกชนในเดือนพ.ย.หดตัวลง 5.1%MoM สู่ระดับ 8.337 แสนล้านเยน นับว่าภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นยังมีความผันผวนและฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก
- จีน : ทางการจีนปฎิเสธข่าวการออกมาตรการคุมเข้มการไหลออกของเงินในทางลับ
สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวในสื่อที่ระบุว่า ทางการจีนได้คุมเข้มกฎระเบียบเพื่อสกัดการไหลออกของเงินทุน ทั้งนี้ สื่อรายงานในช่วงต้นเดือนม.ค.60 ว่าทางการจีนได้ออกมาตรการใหม่เพื่อคุมเข้มการกำกับการไหลออกของเงินทุน และแจ้งให้ธนาคารต่างๆรักษาความลับต่อมาตรการดังกล่าว ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามาตรการดังกล่าวอUS$ และจูงใจให้เม็ดเงินไหลกลับสู่สหรัฐ
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ทรงๆ เมื่อวันศุกร์
ดัชนี DJIA ลดลง 5.27 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 19,885.73 จุด ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 4.20 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 2,274.64 จุด ดัชนี NASDAQ บวก 26.63 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 5,574.12 จุด โดยเริ่มมีรายงานกำไร 4Q59 ออกมาแล้ว หุ้นเจพีมอร์แกน เชสและแบงก์ ออฟ อเมริกา +0.53% และ +0.39% หลังประกาศกำไรไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก มีกำไรแย่กว่าคาด
- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนลง...ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการลดปริมาณผลิตหลังสหรัฐมีแนวโน้มผลิตเพิ่ม
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 64 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 52.37 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 56 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 55.45 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้กลุ่มโอเปกจะเริ่มเดินหน้าลดการผลิต แต่การผลิตน้ำมันเพิ่มของสหรัฐก็กดดัน และอาจทำให้การลดปริมาณผลิตไม่บรรลุผลอย่างที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาน้ำมันไม่ได้รุนแรง เพราะเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลง 7 แท่น สู่ระดับ 522 แท่นในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 11 สัปดาห์
- ราคาทองคำ : ลดลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 3.6 ดอลลาร์ หรือ 0.30% ปิดที่ 1,196.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ :
-/ บริษัทที่ใช้เงินกู้ระยะสั้นและมี D/E สูง หากไม่ได้รับการ Rollover สภาพคล่องการเงินอาจตึงตัว แต่ถ้ามีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่แข็งแรงก็จะผ่านไปได้
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ตลท.ได้ร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เข้าไปตรวจสอบข้อมูลตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หลังมีกรณีการผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E หลายรายในช่วงนี้ โดยเบื้องต้นพบว่ามีตั๋ว B/E ที่มีความเสี่ยงอาจจะมีปัญหาอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาท จากตลาดรวมในหลักหลายแสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสรุปแนวทางการจัดการได้ในสัปดาห์นี้
ความเห็น Retail Research : เราประเมินว่าความวิตกกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำให้ต้นทุนการเงินของผู้จะออกตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่ไม่มี Ratings หรือมี Ratings ต่ำๆ จะเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการ Rollover และการระดมเงินใหม่ในตลาดการเงินก็จะยากขึ้น ทำให้บริษัทที่มี D/E สูงๆ และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไม่ดีนัก อาจมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินตึงตัวได้ ซึ่งในที่สุดอาจจะต้องเพิ่มทุนเพื่อพยุงฐานะการเงินบริษัทให้เดินหน้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในข่ายเสี่ยงสูงมากมีไม่เยอะ เพราะหลายบริษัทถึงแม้มี D/E สูงแต่ก็มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่แข็งแรง ผู้ถือหุ้นใหญ่สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทได้ทั้งผ่านการกู้ยืมและการเพิ่มทุน จึงควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างระมัดระวังแต่อย่า Panic จนมากเกินไป
+/- รัฐเล็งถอนขนห่าน 3 สินค้าชาเขียว-กาแฟ-น้ำมันเครื่อง
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าขณะนี้ กรมฯจะนำผลศึกษาทบทวนการเก็บภาษีตัวใหม่ ที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมประมาณ 3 สินค้า ทั้งการเก็บภาษีเครื่องดื่มชาเขียว การเก็บภาษีกาแฟชงสำเร็จรูป การเก็บภาษีสรรพสามิตบรรจุภัณฑ์น้ำมันเครื่องทั้งหมด มาพิจารณารายละเอียดใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ภายหลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายจัดเก็บรายได้ให้ได้มากขึ้น ก่อนเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาและเสนอฝ่ายนโยบายเห็นชอบ
+ ERW (ราคาปิด 4.52 บาท) : ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว & High season ของธุรกิจ
การปรับปรุงประสิทธิภาพในการสร้างรายได้และลดต้นทุนทำให้บริษัทไม่ประสบผลขาดทุนในช่วง Low Season อีก รวมทั้งมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นด้วย โดยใน 3Q59 บริษัททำกำไรได้ 56 ล้านบาท จากที่ขาดทุนสุทธิ 20 ล้านบาทใน 3Q58 รายได้เฉลี่ยต่อห้องใน 3Q59 เพิ่มขึ้น 11.7%YoY มีจำนวนห้องเพิ่มขึ้นเป็น 6,059 ห้อง
การเปิดโรงแรม Hop Inn ใหม่ 3 แห่ง (ในประเทศ 2 และฟิลิปปินส์ 1) ใน 4Q59 ช่วยขยายรายได้และกำไรสุทธิในปี 60 ทาง DBSV คาดการณ์ EPS Growth ปี 60 กว่า 30% และเชื่อว่าบริษัทจะไม่ขาดทุนในช่วง Low Season อีก แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 5.80 บาท โดยขณะนี้ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ ERW เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มโรงแรม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]