WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
  ตลาดหุ้นโลกน่าจะอยู่ในภาวะปรับฐาน ตราบที่ยังไม่มีประเด็นใหม่ ขณะที่แรงขายสถาบันในประเทศเริ่มชัดขึ้นเมื่อ SET เข้าใกล้ 1575-1580 จุด กลยุทธ์การลงทุนเลือกรายหุ้นที่ผลประกอบการโดดเด่น (WHA) ปันผลสูง (ASK, SCCC, RATCH) และหุ้น Global ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก (PTT, PTTEP, PTTGC) เลือก PTTGC(FV@B76) เป็น Top pick

 

(0) ECB จำเป็นต้องใช้นโยบายผ่อนคลายต่อ เพื่อลดผลกระทบ Brexit
  นอกจากประเด็น Bexit ประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) 19 ม.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกของปีนี้ คาดไม่มีอะไรใหม่ หลังประชุมล่าสุด (ธ.ค.59) ได้ขยายระยะเวลา QE อีก 9 เดือนเป็น ธ.ค.2560 จากเดิมสิ้นสุด มี.ค.60 และลดวงเงิน QE เหลือ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จากเดิม 8 หมื่นล้านยูโร มีผล เม.ย 60 (รวมโครงการ QE ทั้งสิ้น 34 เดือน มี.ค.2558 – ธ.ค.2560 เม็ดเงินรวม 2.29 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 65.4% ของวงเงิน QE สหรัฐ เพิ่มจากเดิมที่คาดจะใช้เงินเพียง 1.75 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น50% ของวงเงิน QE สหรัฐ) และน่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจในยุโรปเริ่มมีสัญญาณขยายตัวดีขึ้น สะท้อนจาก GDP Growth ล่าสุด 3Q59 ขยายตัว 2.2%yoy เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 1.2% จาก 0.9% ในเดือน ต.ค. (โดยเฉพาะเยอรมัน ที่มีขนาดใหญ่สุดใน Eurozone ก็มีทิศทางที่ดีเช่นกัน คือ อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นเป็น 1.7%yoy ใน ธ.ค. จาก 0.8%yoy ในเดือน พ.ย. แต่น่าจะให้น้ำหนักต่อ Brexit ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

  โดยพรุ่งนี้ จะมีการแถลงการณ์ของนาง เทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ (หลังจากที่นายเดวิด คาเมรอน ลาออกไปหลัง Brexit) ซึ่งจะเริ่มเดินหน้า โดยใช้มาตรา 50 ภายใต้สัญญาลิสบอน ในการเจรจา เพื่อออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือน มี.ค. 2560 ตามที่ได้กล่าวไว้ (และจะดำเนินการนับจากวันที่ประกาศไปอีก 2 ปี) และหลังจากนี้เป็นขั้นตอนที่อังกฤษจะเริ่มกระบวนการออกจาก EU อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้สิทธิในการควบคุมกฎและสัญญาทางการค้าระหว่างประเทศ รวมถึง การควบคุมพรมแดนของตนเอง(เป้าหมายควบคุมจำนวนผู้อพยพ)

  การออกจากสหภาพนั้นแม้จะส่งผลกระทบระยะสั้น โดยเฉพาะปัญหาแรงงานหลังจากยกเลิกการรับผู้อพยพ ซึ่งปัจจุบันเป็นกำลังหลักในอุตสาหกรรม และกระทบค่าเงินปอนด์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทำให้สามารถเปิดเจรจาทางการค้ากับคู่ค้าหลัก ๆ ได้ทันที โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ หลังนาย โดนัล ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯออกมากล่าว พร้อมเจรจาการค้ากับอังกฤษ( Bilateral Trade) ทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง (จากก่อนหน้าที่นายโอบามา ให้ความเห็นไม่ยินดีเจรจา)
  ขณะที่ผลกระของ Brexit ต่อยุโรป(EU) นั้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจและการค้าคาดว่าจะเริ่มเห็นการชะลอตัวลง เนื่องจากอังกฤษค้าขายกับยุโรป สัดส่วนราว 58% ของการค้ารวมทั้งประเทศ สินค้าสำคัญที่อังกฤษส่งออกไปยุโรป คือ รถยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์เป็นหลัก และอังกฤษยังเป็นฐานการผลิตสำคัญเข้าสู่กลุ่มสหภาพยุโรป (อังกฤษมีสัดส่วน GDP เป็นอันดับ 2 รองจากเยอรมนี)

(0) นายทรัมป์ เตรียมขึ้นรับตำแหน่ง ปธน. แต่ไม่มีอะไรใหม่
  20 ม.ค. นายโดนัลด์ ทรัมป์จะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่อย่างเป็นทางการ หลังจากกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งแรก ซึ่งได้สร้างความผิดหวังต่อตลาด เพราะมิได้พูดถึงประเด็นที่เกี่ยวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การลดภาษีทุกกลุ่ม ทั้งภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือนและ ภาษีมรดก ซึ่งถือว่าเป็นปัจจุบันกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และผลกำไรของตลาด รวมถึงยังไม่ได้พูดถึงนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งคาดว่าประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากสุดน่าจะเป็นจีน เพราะเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากสุด (40% ของยอดการค้าทั้งหมด) ดังนั้นเชื่อว่านายทรัมป์ฯ น่าจะสงวนท่าที เพราะเกรงว่าอาจจะกระทบความสัมพันธ์ มีเพียงมุ่งไปที่ สนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ คือ สิทธิพิเศษทางภาษีแก่บริษัทที่จะไม่ย้ายฐานการออกจากสหรัฐ และจะเก็บภาษีบริษัทที่จะย้ายเงินลงทุนหรือฐานการผลิตออกนอกประเทศสหรัฐ การฟื้นฟูอุตสาหกรรมยาและชีวภาพ และการลงมือสร้างกำแพงกั้นพรมแดน ระหว่างสหรัฐกับ เม็กซิโก ซึ่งถือว่าทำให้ตลาดผิดหวังเชื่กอว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้สะท้อนนโยบายของทรัมพ์ระดับหนึ่ง จากนี้ไปน่าจะมีทิศทางแกว่งตัว และรอ จนกว่าจะถึงการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ในระยะสั้นทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงผันผวน หรืออยู่ในภาวะปรับฐานต่อไป
  และน่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์ชะลอการแข็งค่าอีกระยะหนึ่ง หลังจากที่ทำสถิติสูงสุดที่ 103.5 จุด หรือแข็งค่าเกือบ 6% นับจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้น ซึ่งถือว่าได้สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจภายหลังที่นายทรัมป์ฯ จะเข้ารับตำแหน่งฯ ขณะที่การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่อง ล่าสุด ดัชนีค้าปลีก (Retail Sales) เดือน ธ.ค. 2559 เพิ่มขึ้น 4.1%yoy เทียบกับ 3.8% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากยอดซื้อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับราคาน้ำมันโลกที่ฟื้นตัวน่าจะหนุนให้อัตราเงินเฟ้อกระเตื้องขึ้นจาก 1.7% ในเดือน พ.ย. 2559 ซึ่งสนับสนุนให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 4 ครั้งในปีนี้ หรือขึ้นราว 1% อย่างไรก็ตามติดการประชุม Fed ครั้งแรกของปีนี้คือ 30 ม.ค. – 1 ก.พ. 2560

 

(-) ต่างชาติสลับมาขายหุ้นในภูมิภาค หลังซื้อติดต่อกันกว่า 8 วัน
  วันศุกร์ที่ผ่านมาถือเป็นวันแรกที่ต่างชาติกลับมาขาย หุ้นภูมิภาคอีกครั้ง โดยขายสุทธิราว 139 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 8 วัน) และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นไต้หวันเพียงแห่งเดียวที่ยังซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 30 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติสลับมาขายสุทธิ นำโดยเกาหลีใต้ขายสุทธิราว 107 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 8 วัน) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP อย่างอินโดนีเซียที่ถูกขายสุทธิราว 27 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4), ฟิลิปปินส์ 8 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกันถึง 10 วัน) และไทยต่างชาติขายกว่า 28 ล้านเหรียญ หรือ 975 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 351 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
  ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯซื้อสุทธิราว 4.16 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 1.93 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)

 

(0) ภาวะน้ำท่วม กลับเป็นผลดีกับบางบริษัท HMPRO
  ผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมารวม 10 จังหวัด (พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร และ ระนอง) ซึ่ง รัฐได้ประเมินความเสียหาย ราว 2.23 หมื่นล้านบาท (แบ่งเป็น ภาคเกษตรเสียหายราว 8.1 พันล้านบาท หรือ 36.3% ของความเสียหายรวม ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมราว 1 หมื่นล้านบาท (47.6%) และถนน ทางรถไฟ 3.4 พันล้านบาท (16.1%) และซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อ GDP Growth ปี 2560 ลดลงราว 0.1% ดังที่นำเสนอไปใน Market talk 13 ม.ค.60
  ภายหลังน้ำลดและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คาดว่าจะต้องมีการซ่อมแซมถนนในพื้นที่ที่เสียหาย รวมทั้งต้องมีการซ่อมแซมและทำความสะอาดอาคารบ้านเรือนต่างๆ โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า น่าจะมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ภายหลังน้ำลด อาทิ
  HMPRO ได้ประโยชน์จากยอดขายสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะปั๊มน้ำและเครื่องทำความสะอาด รวมไปถึงสินค้าซ่อมแซมบ้าน เชื่อว่าจะทำให้กำไรใน 1Q60 เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบผู้ค้าปลีกรายอื่น ประกอบกับการขยายสาขาเชิงรุกตั้งแต่ 1Q59-4Q59 ที่ขยายสาขาถึง 11 สาขา ทำให้ ณ สิ้นปี 59 มีสาขารวมทั้งหมด 93 สาขา ซึ่งใน 1Q60 จะรับรู้รายได้เต็มไตรมาส กำหนด Fair value ปี 2560 เท่ากับ 11.70 บาท อิง PER 31 เท่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาขึ้นมามากแล้ว แต่ยังคงมี upside เหลืออยู่ราว 10% แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว
ขณะที่ TASCO ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้ยางมะตอยที่มากขึ้น ช่วยหนุนยอดขายยางมะตอยในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาจได้ประโยชน์ไม่เต็มที่ เนื่องจากงบประมาณที่ใช้เพื่อซ่อมแซมความเสียหายในส่วนของถนนหนทางคิดเป็นเพียง 10% ของงบประมาณ ซึ่ง TASCO มี Market Share ในตลาดยางมะตอยราว 50% ดังนั้น จึงได้ประโยชน์เพียง 5% เท่านั้น ประกอบกับราคาปัจจุบันของ TASCO เกิน Fair Value ที่ 20 บาทไปแล้ว และฝ่ายวิจัยยังแนะนำ Switch จึงเหมาะกับการเก็งกำไรช่วงสั้นเท่านั้น

 

(+) หุ้น Global ให้น้ำหนักหุ้นที่ยัง underperform กว่าตลาด : PTTGC
  จากการคาดการณ์แนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปี 2560 จะเติบโต 3.4% เทียบกับในปี 2559 ที่เติบโต 3.1% (อ้างอิงตัวเลขจาก IMF เดือน ต.ค. 2559) ซึ่งน่าจะหนุนความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปี 2559 ขณะที่ด้าน supply ยังคงมี supply ใหม่เกิดขึ้นในปี 2560 ทั้งสายโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ แต่ supply ใหม่ของสายอะโรเมติกส์จะมีปริมาณที่เกินความต้องการมากกว่าสายโอเลฟินส์ จึงทำให้คาด spread สายโอเลฟินส์โดยรวมน่าจะยังทรงตัวได้ในระดับที่ดี ขณะที่สายอะโรเมติกส์คาด spread ในปี 2560 จะเห็นการอ่อนตัวลงจากปี 2559 เพราะมี supply ใหม่เกิดขึ้นเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ขณะที่ความต้องการใช้เติบโตเพียง 1.5 ล้านตันต่อปี
  ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่น เห็นการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปีในงวด 3Q59 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องมายัง 4Q59 และ 1Q60 สะท้อนได้จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงกลั่น ในงวด 4Q59 ที่น่าจะเห็นการเติบโตของกำไรเมื่อเทียบกับงวด 3Q59 และจะโดดเด่นมากอีกครั้งในงวด 1Q60
  ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา หุ้นธุรกิจโรงกลั่น-ปิโตรเคมี พบว่า IRPC ปรับขึ้นโดดเด่นสุดถึง 9.38%ytd ส่วน PTTGC ตั้งแต่ต้นปีราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้นเพียง 0.79%ytd เช่นเดียวกับ BCP ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ตรงข้ามกับ ESSO ลดลง 1.56% และ TOP ลดลง 2.7%
  ทั้งนี้ หากมองในแง่ของหุ้นที่ยัง laggard กลุ่มฯ รวมทั้งมีปัจจัยพื้นฐานที่โดดเด่นที่สุด ฝ่ายวิจัยเลือก PTTGC เนื่องจากได้รับผลบวกทั้งโรงกลั่นที่ดีขึ้นตามฤดูกาล และน้ำหนักของกลุ่มปิโตรเคมีที่ให้ไปที่สายโอเลฟินส์ เชื่อว่ากำไรใน 1Q60 จะเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยคาดกำไรปกติ 4Q59 จะเห็นการฟื้นตัวจาก 3Q59 ตามปริมาณขายรวมที่คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีแผน shutdown รวมถึงค่าการกลั่นน่าจะปรับตัวสูงขึ้นตามช่วงฤดูกาล และคาดจะเห็นการเติบโตของกำไรต่อเนื่องในปี 2560 อีก 20.2%yoy จากการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่ของทั้งโรงงานปิโตรเคมี และ โรงกลั่น นอกจากนี้ยังคาดหวังได้กับ upside จากการขยายการลงทุนใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนะนำซื้อ Fair value ปี 2560 เท่ากับ 76 บาท ประกอบกับให้ปันผลเฉลี่ยเกือบ 5% ต่อปี อิง PER 10 เท่า

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!