- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 13 January 2017 18:20
- Hits: 8794
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TASCO (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิดลดลง 4.09 จุดที่ 1568.84 นลท.ต่างชาติและสถาบันในประเทศขายสุทธิแต่ยังไม่มาก พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ ขณะที่รายย่อยซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน สำหรับปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
•/+ ตลาดหุ้นพักตัวหลังปรับขึ้นมากในช่วงแรกของปี 60 ปัจจัยกระตุ้นในระยะต่อไป คือ รายงานผลประกอบการ 4Q59 และปี 59
• ราคาน้ำมันดิบยังขยับขึ้นหลังมีข่าวกลุ่มโอเปกทยอยลดการผลิต แต่ก็มีความเสี่ยงจากการที่สหรัฐมีแนวโน้มผลิตน้ำมันดิบเพิ่ม
- ข่าวผิดนัดชำระหนี้ตราสารหนี้ระยะสั้นของหลายบริษัททำให้ตลาดเงินผันผวน ตราสาร Rating ดีๆก็จะมีราคาแพงขึ้น Yield น้อยลง ขณะเดียวกันก็วิตกปัญหาสภาพคล่องของบจ.ขนาดเล็กที่มี D/E สูงๆ ซึ่งได้ออกตั๋วไปแล้วและถ้าผู้ลงทุนไม่ Rollover ต่อให้
•/+ รัฐบาลคาดผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ไม่รุนแรงมาก เร่งช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ...กลุ่มวัสดุก่อสร้างได้ประโยชน์หลังน้ำลด, ราคายางพารา & ปาล์มน้ำมันสูงขึ้นหลัง Supply น้อยลง
+ การจัดพอร์ตลงทุน แนะนำแบ่งเป็น 3 หมวด คือ 1) กลุ่มหุ้นปันผลสูง-เพื่อรับ Return ที่สม่ำเสมอ (หุ้นเด่น , 2) กลุ่มหุ้นมั่นคงเพื่อให้พอร์ตมีสินทรัพย์คุณภาพดีและมีเสถียรภาพ และ 3) หุ้นเติบโต เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับ Capital Gain และควรทำ Rebalancing เป็นระยะ (ราคาหุ้นเกินพื้นฐานก็ขาย ราคาลงต่ำกว่าพื้นฐานมากก็ซื้อ)
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1580- 1590 การหลุดแนวฟิวเตอร์ 1550 ดูไม่ดี และควรลดพอร์ตตาม
สำหรับหุ้น SCAN ทางเทคนิคที่เข้ามาใหม่เป็น ALT, MDX, RS ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL, ITEL, PSL, LHBANK, PACE, EKH, TACC, VNG, FORTH, BR หุ้นแนะนำที่หาจังหวะ Take Profit เป็น IRPC หุ้นที่หลุด List คือ TVO
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศสำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
+ สหรัฐ : ตลาดแรงงานยังอยู่ในการฟื้นตัวทึ่แข็งแกร่ง
จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 10,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 247,000 รายและแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ต่ำกว่า 3 แสนรายเป็นสัปดาห์ที่ 97 ติดต่อกันแล้ว ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่านั้นลดลง 1,750 รายสู่ระดับ 256,500 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนลงเพราะทรัมป์ไม่ได้ให้ Guidance เกี่ยวกับมาตรการเศรษฐกิจ
นักลงทุนผิดหวังต่อการแถลงข่าวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็การกล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยาของทรัมป์ก็กดดันหุ้นในกลุ่มเวชภัณฑ์และยาด้วย รวมทั้งดัชนีขึ้นมาก่อนหน้าจึงมีการขายทำกำไร ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 19,891.00 จุด ลดลง 63.28 จุด หรือ -0.32% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,547.49 จุด ลดลง 16.16 จุด หรือ -0.29% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,270.44 จุด ลดลง 4.88 จุด หรือ -0.21%
+ ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อหลังมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกเริ่มลดการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 53.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 56.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ หลายประเทศในกลุ่มโอเปกเริ่มปรับลดการผลิต แต่การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบยังจำกัดเนื่องจากคาดการณ์ว่าสหรัฐจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มในปีนี้
+ สัญญาทองคำ : ปรับขึ้นต่อ...กำลังจะทดสอบระดับ 1200 ดอลลาร์ว่าผ่านแล้วยืนได้หรือไม่
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 3.2 ดอลลาร์ หรือ 0.27% ปิดที่ 1,199.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ :
• เศรษฐกิจไทย : รัฐบาลจัดงบประมาณขาดดุลงวดปี 61 (ต.ค.60-ก.ย.61) เพิ่มเป็น 4.5 แสนล้านบาท
รัฐบาลพิจารณาวงเงินงบประมาณรายจ่ายสำหรับงวดปี 61 ในกำหนดกรอบการใช้จ่ายประจำปีไว้ที่ 2.9 ล้านล้านบาท รายได้ 2.45 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 4.5 แสนล้านบาท (2.9% ของ GDP) ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่ 3.9 แสนล้านบาท โดยมีสมมติฐานเศรษฐกิจเติบโต 3.8% อัตราเงินเฟ้อ 2% นำเข้าเติบโต 7% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 36 บาท/ดอลลาร์
รัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยง และเศรษฐกิจไทยยังต้องการแรงกระตุ้น การลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต้องเดินหน้าต่อเพื่อรองรับอนาคต ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลต่อในปี 61
• PTTEP (ราคาปิด 96.75 บาท) : จับตาสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 ที่ล่าช้ามานาน
การเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบที่ 21 ที่ล่าช้า รัฐบาลหาทางออกโดยการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2 ฉบับแต่การพิจารณากฎหมายเกิดความล่าช้า ซึ่งขณะนี้เตรียมเสนอให้สนช.ขยายระยะเวลาพิจารณาออกไปอีก 30 วันเป็นเสร็จสิ้น 19 ก.พ.60 จากเดิมที่สิ้นสุด 21 ม.ค.60 ทางด้านกระทรวงพลังงานได้เตรียมทำร่างกฎหมายลูก 5 ฉบับ รองรับไว้และเตรียมออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมประมูลแหล่งสัมปทาน 2 แหล่งที่จะหมดอายุในปี 65-66 คือเอราวัณและบงกช (ผู้รับสัมปทานแหล่งเอราวัณคือ เชฟรอน ส่วนแหล่งบงกช คือ PTTEP ซึ่งมีการผลิต 24-25% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของ PTTEP) ไปพร้อมๆกับการพิจารณาร่างกฎหมาย 2 ฉบับของสนช.
PTTEP ได้ปรับลดงบประมาณลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าลงประมาณ 16% เพื่อสะท้อนการลงทุนใหม่ที่ล่าช้า ผู้บริหารให้ข้อมูลว่าปริมาณการขายในช่วง 2-3 ปีจากนี้ไปจะต่ำกว่าเดิมเล็กน้อย ส่วนดีล M&A คาดว่าจะมีข้อสรุปการเข้าซื้อกิจการปิโตรเลียม 2-3 แห่งในอ่าวไทยและเมียนมาร์ในปี 60
เราแนะนำถือ PTTEP ให้ราคาพื้นฐาน 105 บาท โดยปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นคือ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซ ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมที่ล่าช้า
+ AOT (ราคาปิด 392 บาท) : ทั้งปี 60 คาดรายได้รวมและกำไรเติบโตเป็นเลขสองหลัก
• ทางผู้บริหาร AOT ให้ข้อมูลว่าช่วง 29 ธ.ค.59 - 4 ม.ค.60 มีเที่ยวบินมาใช้บริการสนามบิน 6 แห่ง 16,911 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ยประมาณ 2,416 เที่ยวบิน/วัน (+9.82%YoY) โดยของสุวรรณภูมิคิดเป็น 42% ของทั้งหมด (+6.22%YoY) ส่วนจำนวนผู้โดยสารของสุวรรณภูมิคิดเป็น 47% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดที่ 384,892 คนต่อวัน (+2.61%YoY) ด้านจำนวนผู้โดยสารของสนามบินดอนเมืองคิดเป็น 26% (+5.93%YoY) สำหรับสนามบินภูมิภาคก็เติบโตแข็งแกร่ง
• สำหรับงวดปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) ทาง AOT คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 8-9%YoY แม้ว่าช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.59 จะมีจำนวนผู้โดยสารต่ำกว่าคาดเพราะมีเหตุการณ์บ้านเมืองและมีการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญแต่ตั้งแต่ธ.ค.59 เป็นต้นมาก็ดีขึ้น และได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวของรัฐบาลด้วยทางด้านรายได้งวดปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) คาดว่าจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก เพราะรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจการบินขยายตัวดี พื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เช่าที่สนามบินดอนเมืองและภูเก็ตเพิ่มขึ้นหลังโครงการขยายแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 59 นอกจากนั้นบริษัทเตรียมวางแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งหมดที่มีอยู่ โดยอาจถึงเอกชนมาร่วมทุนแบบ PPP ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จใน 2Q-3Q ปี 60
• ในช่วง 5 ปีนี้จะใช้เงินลงทุนสูงที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ในการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 พร้อมอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 และรันเวย์ รวมทั้งการขยายท่าอากาศยานดอนเมืองเฟส 3 ซึ่งเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นหลัก โดยบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปีละประมาณ 4.4-4.5 หมื่นล้านบาท
• แนะนำซื้อ โดย DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 455 บาท ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) จะเติบโต 15% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัว 4.5% และบริษัทจะแตกพาร์จาก 10 บาทเป็น 1 บาท โดยจะขออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 27 ม.ค.นี้ ซึ่งการแตกพาร์จะทำให้มีสภาพคล่องในการซื้อขายดีขึ้น
• EFORL (ราคาปิด 0.31 บาท) : ยืนยันจะชำระหนี้ตั๋ว B/E 200 ล้านบาทให้เร็วที่สุด
EFORL แจ้งว่าได้ประสานงานกับบลจ.โซลาริสเกี่ยวกับตั๋ว B/E จำนวน 200 ล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 12 ม.ค.60 แล้วเมื่อ 6 ม.ค.60 โดยบลจ.โซลาริสตกลงจัดหาแหล่งเงินเพื่อการรีไฟแนนซ์ตั๋วฉบับดังกล่าว แต่เมื่อ ณ วันที่ 12 ม.ค.60 เวลา 14.30 น. ทาง EFORL ได้รับแจ้งจากบลจ.โซลาริสว่าไม่สามารถดำเนินรายการดังกล่าวได้อย่างไรก็ตาม EFORL ขอยืนยันบริษัทยังมีความมั่นคงและผู้ถือหุ้นหลักสามารถบริหารจัดการเรื่องนี้และทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ EFORL จะดำเนินการชำระหนี้ตั๋วแลกเงินที่ครบกำหนดดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]