WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

"แกว่ง/อ่อนไม่หลุด 1560 ยังซื้อ/ถือต่อ"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
     ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปรับขึ้นต่อ แต่น้อยลงเป็น +7.47 จุดปิดที่ 1571.05 ซึ่งแรงซื้อยังหนาแน่นในกลุ่มแบงค์ แต่มี Take Profit ในกลุ่มพลังงานและหุ้น Big Cap บางบริษัท นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่อ สำหรับปัจจัยสำคัญวันนี้ ได้แก่
    ตลาดหุ้นอาจแกว่ง/พักฐานเล็กๆหลังทะยานขึ้นมา 2 วัน แต่ถ้าอ่อนไม่มาก (ไม่หลุดพื้นที่ 1560-1550) ก็ยังอยู่ในโมเมนตัมบวก ปัจจัยหนุน คือ การเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน จีน ไทย รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น
+ Theme ลงทุนหุ้นปีนี้ประกอบด้วย 1) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, 2) บาทอ่อน, 3) การขยายตัวใน CLMV+I, 4) ท่องเที่ยวฟื้นตัว
+ ปัจจัยเสี่ยง คือ มาตรการทรัมป์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้, ราคาน้ำมันปรับขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ และบาทอ่อนค่ามาก
+ การจัดพอร์ตลงทุน แนะนำแบ่งเป็น 3 หมวด (สัดส่วนเป็นไปตามการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคน) คือ 1) กลุ่มหุ้นปันผลสูง-เพื่อรับ Return ที่สม่ำเสมอ (หุ้นเด่น , 2) กลุ่มหุ้นมั่นคง เพื่อให้พอร์ตมีสินทรัพย์คุณภาพดีและมีเสถียรภาพ และ 3) หุ้นเติบโต เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับ Capital Gain และควรทำ Rebalancing เป็นระยะ (ราคาหุ้นเกินพื้นฐานก็ขาย ราคาลงต่ำกว่าพื้นฐานมากก็ซื้อ) เพื่อให้การบริหารพอร์ตเกิดประสิทธิภาพ หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น BEAUTY
     การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1580, 1590 การหลุดแนวฟิวเตอร์ 1550 ดูไม่ดี และควรลดพอร์ตตาม


สำหรับหุ้น SCAN ทางเทคนิคที่เข้ามาใหม่เป็น THANI, ORI, EA, TVO, RJH
ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SF, GLOBAL, AP, PLAT, GPSC, STPI, DELTA, ITEL
หุ้นแนะนำที่หาจังหวะ Take Profit เป็น BCH, KSL
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

 

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
สหรัฐ : การจ้างงานนอกภาคเอกชนเดือนธ.ค.ยังเพิ่มขึ้นแม้น้อยกว่าคาด
ADP และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ ระบุว่าการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนธ.ค.เพิ่ม 153,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 170,000 ตำแหน่ง และต่ำกว่าระดับ 215,000 ตำแหน่งของเดือนพ.ย. จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.59 ที่จะออกมาคืนนี้ (6 ม.ค.60)

 

-/ ตลาดหุ้นสหรัฐ : พักฐานเล็กๆ
ดัชนี DJIA ปิดที่ 19,899.29 จุด ลดลง 42.87 จุด หรือ -0.21% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,269.00 จุด ลดลง 1.75 จุด หรือ -0.08% นำโดยกลุ่มค้าปลีก คือ หุ้นเมซีส์ (-13.9%) หุ้นโคลท์ (-19%) หุ้นนอร์ดสตร็อม และหุ้นเจซี เพนนี (-7%) เพราะผลประกอบการช่วงปลายปีแย่กว่าคาด ทั้งนี้กลุ่มค้าปลีกที่มีหน้าร้านกำลังเผชิญแรงกดดันที่รุนแรงจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวอย่างมาก นอกจากนั้นตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐเดือนธ.ค.ก็เพิ่มน้อยกว่าคาดด้วย อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,487.94 จุด เพิ่มขึ้น 10.94 จุด หรือ +0.20% หนุนโดยหุ้นอะเมซอน

 

+ ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อ...สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเกินคาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 53.76 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 56.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่แล้วลดลงถึง 7.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล นอกจากนั้นมีข่าวว่า ซาอุฯเริ่มเจรจากับลูกค้าเพื่อลดการขายน้ำมันตามข้อตกลงไว้กับกลุ่มโอเปก ทั้งนี้ ซาอุดิอาระเบียตกลงที่จะลดกำลังการผลิตลง 486,000 บาร์เรล/วัน หรือ 4.61% จากการผลิต 10.544 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค.59

+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นเมื่อตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์พักฐาน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 16 ดอลลาร์ หรือ 1.37% ปิดที่ระดับ 1,181.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุน คือ การพักฐานของตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

 

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคธ.ค.สูงสุดในรอบ 3 เดือน
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.59 ที่ 73.7 สูงสุดในรอบ 3 เดือน (เพิ่มจาก 72.3 ในเดือนพ.ย.59 หนุนโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐและการส่งออกขยายตัวเป็นบวก ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น และอยู่ในเทศกาลจับจ่ายใช้สอยต้อนรับปีใหม่

 

+ BEAUTY (ราคาปิด 12.20 บาท) : รุกขยายตลาดในทุกช่องทางทั้งในและต่างประเทศ
บริษัทเป็นผู้นำตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและเครื่องบำรุงผิว ทางด้านร้านค้าที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ด้วยส่วนครองตลาด 15% และเปิดดำเนินการมา 18 ปีแล้ว ภายใต้แบรนด์สินค้าที่หลากหลาย และ concept สินค้าคุณภาพดี ออกแบบให้มีความพรีเมี่ยม แต่สามารถซื้อได้ที่ราคาไม่แพงเกินไป เน้นสำหรับผิวคนเอเซียและไทย เจาะตลาดระดับกลาง ณ ปลาย 3Q59 มีสาขาในไทย 323 แห่ง และในกลุ่มประเทศ CLMV อีก 39 แห่ง
คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไร CAGR ระหว่างปี 58-61 สูงน่าประทับใจเป็น 43% สืบเนื่องจากอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG) แข็งแกร่ง ด้วยระดับตัวเลข 2 หลัก ขยายสาขาต่อเนื่อง และอัตรากำไร EBIT ทำได้สูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการบริหารต้นทุนและได้ประโยชน์จาก Economies of scale บริษัทวางแผนกระจายสินค้าแบรนด์หลัก เช่น Beauty Buffet, Beauty Cottage และ Beauty Market ด้วยการเปิดสาขาในไทยเพิ่มกว่า 40 แห่ง และใน CLMV อีกอย่างน้อย 15 แห่ง ภายใน 3 ปีข้างหน้า รวมทั้งจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และไปยังร้านสินค้าสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรด และขายผ่านออนไลน์
แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐานที่ประเมินด้วยวิธี DCF 14.50 บาท จุดเด่น คือ แบรนด์ได้รับการยอมรับ มีช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลาย ฐานลูกค้าใหญ่ และฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ ด้าน ROE ปี 60 อยู่ในระดับสูงมากที่ 57% ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคที่ 26%

 

/- AMATAV (ราคาปิด 6.80 บาท) : การพัฒนานิคมฯใหม่ล่าช้ากว่าคาด กระทบการเติบโตของบริษัท
นางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AMATAV คาดว่ายอดขายที่ดินปี 59 จะทำได้เพียง 12.5 เฮกตาร์ ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 25 เฮกตาร์ (9M59 ขายได้เพียง 5.7 เฮกตาร์) เพราะมีปัญหาการเวนคืนที่ดินในจุดเชื่อมระหว่างเฟสเดิมและเฟสใหม่ของโครงการของนิคมอุตสาหกรรมเบียนหัวที่เกิดความล่าช้า ทำให้การขายที่ดินชะงัก แต่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ส่วนกลางท้องถิ่นได้เข้ามาดูและเร่งแก้ปัญหา ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเวนคืนที่ดินเสร็จได้ในกลางปี 60 และตั้งเป้าหมายขายที่ดินปี 60 ไว้ที่ 20 เฮกตาร์ในนิคมอุตสาหกรรมเบียนหัว และลูกค้าเริ่มโอนได้ใน 4Q60
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราประเมินว่า AMATAV จะยังอยู่ในความท้าทายต่อในช่วงปี 60 เพราะมีที่ดินรอโอนเหลือเพียง 8.8 เฮกตาร์และ 2 เฮกตาร์ในนี้ติดปัญหาทำให้การโอนอาจล่าช้า ส่วนที่ดินขายใหม่ในปี 60 ทั้งที่เบียนหัว ลองถั่นก็จะเริ่มโอนได้ใน 4Q60 ซึ่งจะไปเป็นยอดรับรู้รายได้ของปี 61 เป็นส่วนใหญ่ สำหรับโครงการฮาลองอยู่ระหว่างขออนุญาตจากรัฐบาลเวียดนาม คาดว่าจะเสร็จกลางปี 60 ด้านฐานะการเงินยังแข็งแรง โดยมี D/E Ratio ปัจจุบัน 0.6 เท่า และจะรักษาเพดานไว้ไม่เกิน 1.0 เท่า
สรุป : ผลประกอบการในระยะสั้นยังไม่ค่อยดี แต่มีโอกาสที่จะพลิกฟื้นได้ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป ณ ราคาปัจจุบัน 6.80 บาท แนะนำถือรอการฟื้นตัว

 

- IFEC (ราคาปิด 3.84 บาท) : ผิดนัดชำระหนี้ B/E โซลาริส 200 ล้านบาท
เมื่อวานนี้ (5 ม.ค.60) IFEC ได้ผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E บลจ.โซลาริส มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เนื่องจากยังติดปัญหาภายในบริษัท จึงไม่สามารถนำเงินออกมาชำระ B/E ที่ครบกำหนดได้
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ณ สิ้นก.ย.59 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 14.6 พันล้านบาท มีหนี้สินรวม 9.3 พันล้านบาท และมีส่วนผู้ถือหุ้น 5.3 พันล้านบาท คิดเป็น BVS เท่ากับ 2.67 บาท/หุ้น และงวด 9M59 มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 135 ล้านบาท สำหรับการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 25 ม.ค.60 ต้องติดตามว่าจะราบรื่นและแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในได้หรือไม่

 

+ EA (ราคาปิด 30.75 บาท) : วันนี้ย้ายเข้าซื้อขายใน SET กลุ่มพลังงาน
EA ย้ายเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET (กลุ่มพลังงาน) วันนี้ (6 ม.ค.60) ทำให้นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศมีโอกาสเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น ทางผู้บริหารกล่าวว่าแนวโน้มผลประกอบการยังเติบโตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 126 MW ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างใกล้เสร็จแล้ว และเตรียมเข้าสู่ขั้นตอน COD ต่อไป

 

/+ MONO (ราคาปิด 2.90 บาท) : เปิดตัวปี 60 ได้สวย เรทติ้งพุ่งแซง WORK
ผู้บริหาร MONO การันตีปี 60 รายได้จะเติบโตได้จากปีก่อน และมีโอกาสพลิกฟื้นจากขาดทุนเป็นกำไรได้ โดยในช่วง 9M59 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท โดยแผนกลยุทธ์คือ การส่งหนังฟอร์มยักษ์ ซีรี่ย์ดังเข้ามาเพิ่ม เพื่อเอาใจผู้ชม โดยบริษัทมีความเชื่อมั่นว่าช่อง MONO29 จะมีเรทติ้งดีขึ้นในปี 60 เพราะเปิดปีใหม่เรทติ้งพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 3 แซงหน้าเวิร์คพ้อยท์ (WORK) ไปแล้ว

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!